นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อ 9 มิ.ย. 2568 ว่า สถานการณ์การเมืองประเดประดังขยับรัดคอรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ จนถึงขั้นเสถียรภาพไม่แน่นอนกับปัญหาสารพัดรุมเข้าใส่ ย่อมชี้ถึงทิศทางจบสิ้นของนายกฯ จากตระกูลชินวัตร เข้าไปทุกขณะ
สิ่งสำคัญกับปัญหาใหญ่ล่าสุด เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) รับคำร้องไว้สอบสวนความผิดตาม ม.144 ของ รธน. 2560 ซึ่งระบุห้ามฝ่าฝืนงบประมาณใน 3 กรณี คือ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดใช้จ่ายตามกฎหมาย โดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์, นายสมชาย แสวงการ, นายเจษฎ์ โทณะวณิก และ นายนิติธร ล้ำเหลือ ยื่นเรื่องต่อ ปปช.เมื่อ 25 เม.ย. 2568
อย่างไรก็ตาม การฝ่าฝืนตาม ม.144 นั้น คำร้องกล่าวโทษตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มีมติปรับลดงบประมาณ 2568 จำนวน 35,000 ล้านบาท จากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ซึ่งเป็นเงินกู้ตามข้อผูกพันตามกฎหมายการเงินการคลัง แล้วโยกมาเป็นงบกลางเพื่อใช้แจกกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ถัดมา เมื่อถึงรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร เป็นนายกฯ งบประมาณจำนวนนี้ถูกเบิกจ่ายนำไปใช้แจกเงิน 10,000 บาทจริง กลุ่มผู้ยื่นคำร้องจึงกล่าวโทษให้ ปปช.สอบสวนเอาผิดกับรัฐบาลนายเศรษฐา ต่อเนื่องถึงรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร
นายจตุพร กล่าวว่า หลังจาก ปปช.รับคำร้องแล้ว ม.144 (วรรคห้า) บัญญัติให้ ปปช.ต้องดำเนินการสอบสวนทางลับโดยพลัน ถ้ามีมูลความผิดต้องส่งศาล รธน. และศาลต้องวินิจฉัยให้เสร็จใน 15 วัน ถ้าผิดมีโทษพ้นจากตำแหน่ง ตัดสิทธิ์ทางการเมือง และชดใช้เงินคืนรัฐภายในเวลา 20 ปี
อีกทั้งกล่าวว่า การยื่นคำร้องเอาผิดตาม รธน. มาตรา 144 ถ้าถูกศาล รธน.ชี้ขาดเป็นความผิดแล้ว จะเป็นยิ่งกว่าสึนามิทางการเมือง โดยผู้ยื่นร้องเรียนพร้อมหลักฐานเอกสาร บันทึกรายงานการประชุมครบถ้วนตั้งแต่การโยกงบประมาณ 2568 เข้าข่ายผิด ม.144 ของรัฐบาลนายเศรษฐา จนถึงรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร เบิกจ่ายนำไปใช้
ส่วนการปรับ ครม.นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เสถียรภาพรัฐบาลสะท้อนความเปราะบางมากขึ้น ยิ่งแกนนำรัฐบาลพูดอ้างไม่ตรงกันแทบทุกวัน แม้ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยต้องการตำแหน่ง รมว. มท.คืนจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แต่เนื้อแท้แล้วเป็นการบีบไม่ให้อยู่ร่วมรัฐบาลกันได้
ม่เพียงเท่านั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ (รสทช.) เกิดปัญหาภายใน และแตกหักกันชัดเจนถึงขั้นยื่นหนังสือให้นายกฯ ปรับ รมต.ของพรรคออกจาก ครม ดังนั้น สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลย่อมไม่มีอะไรแน่นอน และถูกบีบให้พรรคแกนนำอย่างพรรคเพื่อไทยมีทางเลือกน้อยลง
นอกจากนี้ ปัญหาการเมืองใหญ่ที่กระหน่ำใส่รัฐบาลอย่างหนักหน่วงในเดือน มิ.ย.นี้ จะขยับกันตั้งแต่วีนที่ 12 มิ.ย. โดยแพทยสภาประชุมยืนยันมติลงโทษจริยธรรม 3 หมอ แม้ต้องการเสียง 2 ใน 3 หรือ 47 เสียงจากกรรมการทั้งหมด 70 เสียง แต่ขณะนี้มีข่าวสะพัดว่า ได้เสียงกรรมการแพทยสภาเกินกว่า 60 เสียงแล้ว
นายจตุพร กล่าวว่า ถัดไปวันที่ 13 มิ.ย. นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพร้อมหรือไต่สวนได้ลงโทษจำคุกทักษิณแล้วหรือไม่ โดยศาลมีคำสั่งเรียกนัดพร้อม ปปช. โจทก์และจำเลยทักษิณ มาศาล หากนำตัวอย่างของตนมาเทียบแล้ว ในกรณีนี้ ศาลเรียกนัดพร้อม อาจจะไต่สวนมีคำสั่งเสร็จในวันเดียวกัน ดังนั้น ตนจึงเชื่อว่า ทักษิณไม่กล้าไปศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.
สำหรับปัญหาดินแดนระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น นายจตุพร กล่าวว่า ท่าทีรัฐบาลเชื่องช้า และอ่อนแอในการแก้ไขให้ทันท่วงที จึงถูกกังขาว่า ไม่กล้าตอบโต้กัมพูชาลุกล้ำดินแดนไทย แต่เมื่อคนไทยรักชาติเรียกร้องให้รัฐบาลแข็งกร้าว กลับถูกปลุกปั่นกล่าวหาใส่ร้ายว่าเรียกร้องทหารทำรัฐประหาร
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ความอ่อนแอของรัฐบาลต่างหากที่จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารขึ้น โดยพวกเรายืนกรานชัดเจนว่า ไม่เอารัฐประหาร เมื่อเราเห็นบ้านเมืองยังเต็มไปด้วยปัญหามาถึง 93 ปี ถ้าวันนี้ไม่คิดแก้ไขอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความแข็งแรงให้ชาติ ศาส กษัตริย์ และประชาชนแล้ว ประเทศก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นเลย
พร้อมทั้งสรุปปัญหาว่า วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ สังคมยังมีปัญหาปากท้องรุมอีกมากมาย แล้วมาถึงปัญหาชายแดนถูกรุกล้ำดินแดน รัฐบาลกลับพิเรนไปเน้นทำเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (สถานบันเทิงครบวงจร) แล้วยังสารภาพให้สิ้นสงสัยอีกว่า ถ้าไม่ทำบ่อนกาสิโน นายทุนต่างชาติก็ไม่มาลงทุนโครงการสถานบันเทิงครบวงจร
"การไม่รู้สึกรู้สาว่าประเทศมีศึกอยู่ข้างบ้าน แต่ตัวเองอยากทำบ่อน นั่นเป็นวิธีแก้ไขปัญหาเหรอ ยิ่งพฤติกรรมไม่แยแสกับปัญหาตึงเครียดที่เกิดขึ้นทางชายแดนไทยด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ นายกฯ กลับไปกาญจนบุรี ดูงานแก้ปัญหาภัยแล้งในฤดูฝนที่ภาคตะวันตก"
นายจตุพร กล่าวว่า ตนอยากให้ทักษิณ ไปศาลในวันที่ 13 มิ.ย. แล้วเชื่อว่า ถ้าทางตะวันออก และชายแดนใต้ไม่สะดวกกับการเดินทางของทักษิณแล้ว ชายแดนช่องธรรมชาติทางตะวันตกอาจสะดวกก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ทักษิณ อยู่ในไทย แสดงแบบอย่างกล้าหาญตามการยื่นถวายฏีกาว่า เคารพต่อกระบวนการยุติธรรม ยอมรับกระทำความผิดจริง และสำนึกต่อการกระทำผิดนั้นแล้ว ทุกอย่างของบ้านเมืองย่อมเดินต่อกันไปได้อย่างราบรื่น
"ถ้าทักษิณ จะหลบลี้หนีภัย หรือจะหนีได้ หรือหนีไม่ได้ แต่สภาพรัฐบาลก็นับถอยหลัง เพราะการกล่าวหาตาม ม.144 เริ่มขยับมาค้ำคอแล้ว และยังไม่นับเรื่องกล่าวโทษนายกฯ ข้อหาจริยธรรมนักการเมือง ในกรณีที่ดินเขาใหญ่่สร้างโรงแรมหรู เรื่องใช้ตั๋วพีเอ็น และสนามกอล์ฟอัลไฟน์เป็นธรณีสงฆ์ ล้วนเป็นสิ่งไม่แน่นอนของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์กันทั้งนั้น"
รวมทั้งเตือนสติว่า นักการเมืองเมื่อมีตำแหน่งแล้ว ในวันที่อยากลงจากตำแหน่งก็ไม่ลง แต่เมื่อจะลงกลับยากไปเสียแล้ว เพราะต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมืองหนักหน่วงที่กำลังประเดประดังเข้าใส่
ส่วนเรื่องการเจรจาเอา รมว. มท.คืนนั้น แม้คิดว่าจะทำอะไรกันได้ง่ายๆ แล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ไม่มีใครกลัวใครกันแล้ว เพราะแต่ละฝ่ายต่างมีอาวุธทางการเมืองของตัวเอง และอ่านเกมกันออกว่า ถ้ายอมแล้วจะเกิดอะไรตามมาอีก ดังนั้น รัฐบาลและนายกฯ คนนี้ ใครคิดว่าอยู่นาน ก็คิดผิดแล้ว
นายจตุพร เชื่อว่า ถ้าทักษิณ มีเหตุเป็นไปในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หรือศาลฎีกาฯ จะขยับเลื่อนออกไปเป็นวันอื่นอาจสัก 7 หรือ 10 วันก็ตาม ย่อมเห็นเวลาของรัฐบาลใกล้สิ้นสุด สิ่งสำคัญหากนายกฯ ตัดสินใจยุบสภา อาจต้องเจอกับปัญหาจริยธรรมใน 3 กรณีที่กล่าวมาจ่อเล่นงานอยู่ แล้วยังมี ม.144 สึนามิทางการมืองกดทับค้ำหัวไว้อีก
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเรายังยืนยันว่า ควรแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของประชาชน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ประชาชนมีส่วนรวมน้อยมาก โดยมีหน้าที่แค่เตะหมูเข้าปากหมา จากการเมืองที่สลับหน้าที่กันมาปกครองประเทศ วันนี้ถ้าไม่ผ่าตัดใหญ่แล้ว บ้านเมืองไม่มีทางรอดพ้นวิกฤตนี้ได้
"ในวันที่ 10 มิ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล และคณะ จะพามวลชนไปทำเนียบรัฐบาลเวลา 09.00 น. ซึ่งผมถูกชักชวนให้ไปร่วมด้วย แต่ผมยังยึดหลักการว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัวจะเหนือกว่าชาติบ้านเมืองกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ เพราะความงดงามในเรื่องส่วนตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องของระเทศต้องทำหน้าที่ของพลเมือง"
นอกจากนี้ วันที่ 11 มิ.ย. เรายังมีนัดพร้อม 10.00 น. รวมกำลังใจไปมอบดอกไม้ให้แพทยสภายืนยันมติลงโทษจริยธรรม 3 หมอตามเดิม แล้ววันที่ 12-13 มิ.ย. เฝ้ารอสถานการณ์ที่ขยับรัดคอรัฐบาลไปทุกขณะ เพื่อดูทิศทางว่า รัฐบาลจะมีจุดจบอย่างไร
ประเทศไทยต้องมาก่อน