xs
xsm
sm
md
lg

เลขาฯ สภาพัฒน์เผย อัตราว่างงาน Q1/68 อยู่ที่ 0.88%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงสถานการณ์แรงงานไตรมาส 1/68 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.4 ล้านคน ลดลงจากไตรมาส 1/67 ที่ 0.5% จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่ 3.1% แต่นอกภาคเกษตรกรรม ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ 0.5% โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ยังคงขยายตัวได้ที่ 3.5% แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเริ่มลดลง เช่นเดียวกับสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า ที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% ขณะที่การจ้างงานในสาขาการผลิต เริ่มหดตัวลงเล็กน้อยที่ 0.4%

นอกจากนี้ ในภาพรวมชั่วโมงการทำงานของแรงงานลดลง อยู่ที่ 40.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยภาคเอกชน อยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 5.0% ขณะที่ผู้ทำงานต่ำระดับลดลง 7.9% อัตราการว่างงานลดลง มาอยู่ที่ 0.88% จากไตรมาส 1/67 ซึ่งอยู่ที่ 1.01%

โดยไตรมาส 1/68 มีผู้ว่างงานประมาณ 3.6 แสนคน ลดลงในกลุ่มที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาว ที่ลดลง 14.3% หรือมีจำนวน 6.8 หมื่นคน โดยกลุ่มผู้ว่างงาน ที่ไม่เคยทำงานมาก่อนกว่า 74.3% ว่างงานเพราะหางานไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้เสมือนว่างงานมีจำนวนกว่า 4.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 14.6%

เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า ผู้เสมือนว่างงานสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากภาคเกษตร 1.5 ล้านคน จากการรอฤดูกาลเพาะปลูกเพิ่มเติม และภาคบริการ 2 ล้านคน ภาคการผลิต 8.2 แสนคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฟรีแลนซ์ ส่วน SMEs ว่างงานสูงขึ้น จากการปิดตัวธุรกิจที่มากขึ้น แนวโน้ม SME ในระยะข้างหน้ายังไม่แน่นอน ซึ่งธนาคาร SFI ของรัฐก็มีมาตรการช่วยสภาพคล่องเพื่อพยุงกิจการเอาไว้ และเชื่อว่าจะมีมาตรการช่วย SMEs เกี่ยวกับภาคส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ ซึ่งส่วนนี้ ก็น่าจะช่วยให้สามารถดำเนินกิจการได้โดยไม่ต้องปลดคนงาน

สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่

1. การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs โดยรายงานของธนาคารโลก ระบุว่า ธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรมในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และอาจเป็นสาเหตุให้ปิดกิจการ จึงควรมีการส่งเสริมให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้

2. การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน โดย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้แก่ลูกจ้าง เมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิด แต่ที่ผ่านมามีลูกจ้างไม่ได้รับการจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานประกอบการจากต่างประเทศ จึงควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการที่ชัดเจน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการชดเชยอย่างที่ควรจะเป็น

3. เด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงาน ซึ่งผลสำรวจพบว่า ผู้บริหารกว่า 89% มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะมองว่าขาดประสบการณ์ ทักษะ และมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก และเลือกที่จะหันไปจ้างฟรีแลนซ์ หรือพนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง ดังนั้น เด็กจบใหม่จึงควรเตรียมความพร้อมของตนเอง ทั้งด้านทักษะ และทัศนคติ ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับรูปแบบการเรียนการสอน