นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเน้นย้ำถึงกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายมีการตรึงกำลังทหารตลอดแนวชายแดน ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันจากทางราชการ โดยหน่วยงานทหารไม่มีนโยบายติดต่อประชาชนผ่านการโทรศัพท์ หรือขอให้เพิ่มบัญชีแอปพลิเคชันไลน์เพื่อดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ กองทัพบกไม่มีการเรียกกำลังพลสำรอง ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อความหรือบุคคลที่แอบอ้าง เพื่อหลอกลวงและเรียกรับผลประโยชน์
ขณะที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้เตือนประชาชนเช่นกันโดยระบุว่า ขณะนี้พบมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นหน่วยงานทหาร โทรศัพท์ไปยังประชาชนโดยอ้างว่าผู้รับสายมีรายชื่ออยู่ในกำลังพลสำรอง ขอให้ติดต่อหน่วยงานต้นสังกัด และหากไม่ประสงค์เข้าร่วมสามารถลงทะเบียนยกเว้นได้ โดยให้เพิ่มบัญชีไลน์เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ โดยมิจฉาชีพเมื่อโทรมาจะบอกชื่อ เลขบัตรประชาชนและข้อมูลส่วนตัว ทำให้เหยื่อหลงเชื่อคิดว่าเป็นหน่วยงานทหาร เมื่อเข้าไปพูดคุยในไลน์มิจฉาชีพก็จะให้กรอกข้อมูลต่างๆ หลอกล่อ กดดันให้เหยื่อกลัว จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สิน และข้อมูลสำคัญ
ซึ่งกำลังพลสำรอง หรือ ทหารกองหนุน คือ ผู้ที่เคยผ่านการเป็นทหารแล้ว แต่ปลดประจำการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มี 2 ประเภท คือ 1) ผู้ที่สำเร็จการฝึกวิชาทหาร (ร.ด.) ตั้งแต่ชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป และขึ้นทะเบียนกองประจำการจนปลดเป็นทหารกองหนุน 2) ผู้ที่ปลดจากกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) เมื่อครบกำหนดตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการเรียกกำลังพลสำรอง มีดังนี้
1. มณฑลทหารบก แจ้งไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัด ของพื้นที่ที่กำลังพลสำรองมีภูมิลำเนาอยู่
2. ออกหมายเรียกพล (ตพ.15) ส่งถึงผู้ถูกเรียก เพื่อปฏิบัติตามหมาย
3. ผู้ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวตามสถานที่และเวลาที่กำหนด
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอให้ประชาชนรับฟังและติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐเท่านั้น และงดเผยแพร่หรือแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ป้องกันความสับสนที่อาจสร้างความขัดแย้งภายในประเทศ ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา จากหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลและสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง