นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรอบวงเงินงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลโยกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อเตรียมใช้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ว่า ทาง ส.อ.ท. ได้มีข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณากำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างให้เน้นใช้สินค้า "Made in Thailand" ที่ได้รับการรับรองจากสภาอุตสาหกรรมฯ เป็นหลัก เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในประเทศ มากกว่าการสูญเสียออกนอกประเทศ
ทั้งนี้ การใช้งบจัดซื้อสินค้าไทย เม็ดเงินจะหมุนเวียนในระบบอีกหลายรอบ ต่างจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่หมุนรอบเดียวแล้วไหลออกนอกประเทศทันที สินค้าไทยจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ ให้ภาคการผลิตในประเทศโดยตรง
นายนาวา กล่าวว่า โครงการของรัฐหลายโครงการ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและเพื่อประชาชน รวมถึงโครงการด้านคมนาคม เช่น ถนน ไฟสัญญาณจราจร และระบบความปลอดภัย ล้วนสามารถใช้สินค้าไทยได้อย่างหลากหลาย ทั้งเหล็ก วัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ หลอดไฟ และอุปกรณ์อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ผลิตโดยโรงงานในประเทศ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ขณะเดียวกัน ทาง ส.อ.ท. มีความกังวลต่อสถานการณ์การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการที่หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในของตนเอง เช่น มาตรการปกป้องการนำเข้า (Safeguard) และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ขณะที่ประเทศไทยยังดำเนินการค่อนข้างล่าช้า
ดังนั้น ตนจึงอยากเสนอให้กระทรวงพาณิชย์มีการปรับบทบาทให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยไม่ต้องรอให้เอกชนเป็นผู้ยื่นคำร้องเสมอไป เช่น ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ริเริ่มไต่สวนมาตรการทางการค้าด้วยตนเอง แล้วให้เอกชนร่วมสมทบในขั้นตอนถัดไป เพื่อให้กระบวนการเร็วขึ้น และช่วยภาคอุตสาหกรรมได้ทันต่อสถานการณ์
ในส่วนของมาตรการภายในประเทศ ตนขอชื่นชมกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีบทบาทในการตรวจสอบและสกัดสินค้านำเข้าคุณภาพต่ำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะโรงงานที่ผลิตสินค้าด้อยคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนต่างชาติที่ไม่รับผิดชอบต่อมาตรฐานสินค้า โดยภาครัฐได้มีคำสั่งปิดโรงงานหลายแห่งแล้ว นอกจากนี้ อยากให้ภาครัฐเร่งปฏิรูปมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ให้ครอบคลุมสินค้ามากขึ้น และดำเนินการให้รวดเร็วกว่าเดิม เพื่อเป็นแนวป้องกันเชิงโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้บริโภค
นายนาวา กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลง เนื่องจากความผันผวนจากสงครามการค้าและปัจจัยด้านวัตถุดิบ เช่น เหล็กหรือสังกะสี และยังมีความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ภาครัฐควรพิจารณามาตรการเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั้งในเชิงภาษีและการสนับสนุนต้นทุนการผลิต เช่น การช่วยเหลือโรงงานในช่วงต้นน้ำ หรือเสริมความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตไทยในตลาดต่างประเทศ ซึ่งทางภาคอุตสาหกรรมต้องการความชัดเจนและความรวดเร็วจากภาครัฐ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์