นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามความคืบหน้าตามข้อสั่งการในการแก้ไขการละเลยกฎจราจร การรักษากฎระเบียบวินัยการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ในการดำเนินโครงการถนนปลอดภัย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ดำเนินคิกออฟตามข้อสั่งการเมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.68) ทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของสหประชาชาติด้านความปลอดภัยทางถนน (UN Secretary General’s Special Envoy for Road Safety) ที่ต้องการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนของไทย เนื่องจากยังคงเผชิญกับอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับสูง โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งบริหารงานด้านการจราจร ได้รายงานผลการปฏิบัติงานของกองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการฯ โดยรายงานว่า มีถนนเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว 95 จุดทั่วประเทศ แบ่งเป็นพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลจำนวน 11 จุด ตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 9 จุด ตำรวจภูธรภาค 2 จำนวน 9 จุด ตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 10 จุด ตำรวจภูธรภาค 4 จำนวน 13 จุด ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 8 จุด ตำรวจภูธรภาค 6 จำนวน 9 จุด ตำรวจภูธรภาค 7 จำนวน 9 จุด ตำรวจภูธรภาค 8 จำนวน 8 จุด และตำรวจภูธรภาค 9 จำนวน 8 จุด ซึ่งแต่ละพื้นที่ได้ให้ความสำคัญต่อข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่
คณะทำงานฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่รณรงค์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-2 ตามนโยบายของรัฐบาลในเมืองท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพฯ สมุทรปราการ บางแสน บางละมุง และพัทยา พบว่าที่เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ได้เคร่งครัดในการรณรงค์เรื่องการสวมหมวกกันน็อคและการฝ่าฝืนสัญญาณจราจร โดยคณะทำงานได้พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองพัทยากวดขันจับกุมและพบเห็นระดับ ผกก.สถานีตำรวจภูธร พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ลงพื้นที่อำนวยการด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตอบรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ตร. อย่างแข็งขัน
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวได้บูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ร่วมรับผิดชอบ อาทิ กรมทางหลวง กรุงเทพมหานคร สำนักการโยธา กรมทางหลวงชนบท เทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด
นายจิรายุ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด มุ่งเป้าลดการเกิดอุบัติเหตุจราจร สร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนทุกคนที่เดินทางสัญจรบนท้องถนน และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีออกไปสู่สายตาชาวต่างชาติ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ขอเชิญชวนประชาชนร่วมใจกันตระหนักถึงความปลอดภัยจากการสวมหมวกนิรภัยว่าสามารถช่วยลดการบาดเจ็บหรือลดการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้ ที่สำคัญคือ การปฏิบัติตนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 122 ที่กำหนดไว้ว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องสวมหมวกนิรภัยเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และมีโทษปรับเป็น 2 เท่า หากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขับขี่ในขณะที่คนโดยสารรถจักรยานยนต์มิได้สวมหมวกนิรภัย