xs
xsm
sm
md
lg

ก.เกษตรฯ โชว์ผลงาน 6 เดือน เดินหน้ายกระดับชีวิตเกษตรกรไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายประจำ) เปิดเผยว่า ผลงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 6 เดือน ภายใต้นโยบายของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยยึดหลักการทำงาน คือ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ในปี 2568 กว่า 983 โครงการ และผลักดันการดำเนินงานสำคัญด้านการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล ด้วยแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มุ่งยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกร โดยสานต่อนโยบายการดำเนินงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ จนเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม มีผลการดำเนินงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2568 (กันยายน 2567 – มีนาคม 2568)

นายฉันทานนท์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญ อาทิ ด้านการบริหารจัดการน้ำ ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งในพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศ 29,578 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา จัดสรรน้ำรวม 9,902 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ได้อย่างเพียงพอ ไม่มีพื้นที่ในเขตชลประทานประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และสำหรับการเพาะปลูกข้าวนาปรังปี 2567/68 กรมชลประทานดำเนินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยทั้งประเทศ ทำนาปรัง 10.01 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้วกว่า 7.57 ล้านไร่ ส่วนมน้ำเจ้าพระยา ทำนาปรัง 6.35 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้วกว่า 6.05 ล้านไร่ โดยไม่มีพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานได้รับความเสียหาย ส่วนอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำสำรองช่วงต้นฤดูฝนปี 2568 จำนวน 19,914 ล้าน ลบ.ม.

การเดินหน้าจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน ซึ่งนางนฤมลให้ความสำคัญและตั้งเป้าเพื่อเป็นรากฐาน ในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าว เปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการพัฒนาข้าวด้วยตนเอง ช่วยให้ชุมชนและองค์กรชาวนาเกิดความเข้มแข็ง โดยขณะนี้มีศูนย์ข้าวชุมชนทั้งหมด 6,101 แห่ง 2,928 ตำบล ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้ 280,000 ตัน มีการจัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกร 799 แห่ง 1,794.2 ตัน ซึ่งพันธุ์ข้าว ที่ขอรับการสนับสนุนมากที่สุด ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 กข6 และ กข79 ถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรม 16,061 ราย รวมทั้งสนับสนุนครุภัณฑ์ชุดเครื่องคัดทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์ข้าวพร้อมอุปกรณ์ 97 ชุด ทำให้เกิด “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล็ดพันธุ์ข้าว” และชาวนาอาสา 139,668 ราย ส่งผลให้ผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 450 กิโลกรัม เป็น 500 กิโลกรัม

ทั้งนี้ นายฉันทานนท์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน ให้ได้ครบ 12,500 แห่ง ภายในปี 2570 การเปิดตลาดส่งออกสินค้าเกษตร ผลักดันเปิดประตูขยายการส่งออกสินค้าเกษตร สร้างโอกาสให้เกษตรกรไทย โดยด้านพืช กรมวิชาการเกษตร ได้ยื่นคำขอเปิดตลาดส่งออกสินค้าพืช 3 รายการ (อยู่ระหว่างรอผลพิจารณาจากประเทศ คู่ค้า) ได้แก่ ใบชาแห้งไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ใบกระท่อมแห้งไปยังสาธารณรัฐอินเดีย และผลลำไยสดไปยังสาธารณรัฐฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ นายฉันทานนท์ กล่าวว่า ในส่วนของทุเรียนไทย มีนโยบายในการกำกับดูแลควบคุมคุณภาพทุเรียนทั้งระบบ โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกทุเรียนสำคัญ ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการตรวจสอบสาร Basic Yellow 2 (BY2) สำหรับทุเรียนส่งออกที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) แล้วจำนวน 12 แห่ง และห้องปฏิบัติการทดสอบสินค้าเกษตร และอาหารด้านพืชที่กรมวิชาการเกษตรยอมรับความสามารถในรายการทดสอบแคดเมียมในทุเรียน 13 แห่ง

นายฉันทานนท์ กล่าวว่า ด้านปศุสัตว์ เปิดตลาดส่งออกไก่พื้นเมืองมีชีวิต (Ayam Bangkok) ไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกไม่ต่ำกว่า 12,000 ตัว คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และด้านประมง เปิดตลาดส่งออกสินค้าปลากะพงขาวไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นความสำเร็จสร้างโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดสินค้าประมงคุณภาพ โดยมีเป้าหมายในการส่งออก 50,000 ตัน/ปี จัดทำระเบียบกรมประมงว่าด้วยการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการบริโภคสำหรับส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2568 และประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดส่งออกสินค้าปลาทองมีชีวิตจากไทยไปยังสหรัฐเม็กซิโก

สำหรับ 6 เดือนหลังจากนี้ในปี 2568 กระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมเปิดแนวทางเพื่อขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติม อาทิ การเปิดตลาดส่งออกเนื้อสัตว์ปีกดิบ เนื้อสุกร และผลิตภัณฑ์ไปยังฟิลิปปินส์ เปิดตลาดส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นและแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย การเปิดตลาดผลไม้ระหว่างไทยและญี่ปุ่น การเปิดตลาดส้มโอจากไทยไปนิวซีแลนด์ และการเจรจาแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกจากไทยไปจีน การจัดที่ดินทำกิน อีกหนึ่งนโยบายการสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีสิทธิและที่ดินทำกิน โดยมีการออกเอกสารสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ในพื้นที่ 66 จังหวัด เกษตรกร 17,452 ราย รวม 210,448 ไร่ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (กสน.3 และ กสน.5) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ 112 ราย รวม 136 แปลง จำนวน 954 ไร่ รวมทั้งปรับปรุง ส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าในที่ดินและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน มอบโฉนดเพื่อการเกษตร 42,973 ราย รวม 54,566 แปลง จำนวน 577,109 ไร่ โดย 6 เดือนหลังจากนี้ มีเป้าหมายจะออกเอกสารสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จำนวน 37,000 ราย รวม 240,000 ไร่ และตั้งเป้าสำหรับผู้ยื่นคำขอโฉนดเพื่อการเกษตร 1,066,643 แปลง ภายในปี 2568

นอกจากนี้ นายฉันทานนท์ กล่าวว่า ในส่วนของโครงการโฉนดต้นยางพาราเพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อ ได้มอบโฉนดต้นยางพารา เพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 10,161 แปลง ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สวนยางพารา 270 – 457 บาท/ต้น หรือ 18,900 – 31,990 บาท/ไร่ (เฉลี่ย 70 ต้น/ไร่) ทั้งนี้ มีเป้าหมายปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 529,650 แปลง นอกจากนี้กระทรวงเกษตรยังคงเข้มงวดกับการปราบปราม สินค้าเกษตรเถื่อน การมุ่งมั่นการแก้ไขปัญหา PM 2.5

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายประจำ) เปิดเผยว่า ผลงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 6 เดือน ภายใต้นโยบายของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยยึดหลักการทำงาน คือ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ในปี 2568 กว่า 983 โครงการ และผลักดันการดำเนินงานสำคัญด้านการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล ด้วยแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มุ่งยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกร โดยสานต่อนโยบายการดำเนินงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ จนเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม มีผลการดำเนินงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2568 (กันยายน 2567 – มีนาคม 2568)

นายฉันทานนท์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญ อาทิ ด้านการบริหารจัดการน้ำ ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งในพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศ 29,578 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา จัดสรรน้ำรวม 9,902 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ได้อย่างเพียงพอ ไม่มีพื้นที่ในเขตชลประทานประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และสำหรับการเพาะปลูกข้าวนาปรังปี 2567/68 กรมชลประทานดำเนินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยทั้งประเทศ ทำนาปรัง 10.01 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้วกว่า 7.57 ล้านไร่ ส่วนมน้ำเจ้าพระยา ทำนาปรัง 6.35 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้วกว่า 6.05 ล้านไร่ โดยไม่มีพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานได้รับความเสียหาย ส่วนอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำสำรองช่วงต้นฤดูฝนปี 2568 จำนวน 19,914 ล้าน ลบ.ม.

การเดินหน้าจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน ซึ่งนางนฤมลให้ความสำคัญและตั้งเป้าเพื่อเป็นรากฐาน ในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าว เปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการพัฒนาข้าวด้วยตนเอง ช่วยให้ชุมชนและองค์กรชาวนาเกิดความเข้มแข็ง โดยขณะนี้มีศูนย์ข้าวชุมชนทั้งหมด 6,101 แห่ง 2,928 ตำบล ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้ 280,000 ตัน มีการจัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกร 799 แห่ง 1,794.2 ตัน ซึ่งพันธุ์ข้าว ที่ขอรับการสนับสนุนมากที่สุด ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 กข6 และ กข79 ถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรม 16,061 ราย รวมทั้งสนับสนุนครุภัณฑ์ชุดเครื่องคัดทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์ข้าวพร้อมอุปกรณ์ 97 ชุด ทำให้เกิด “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล็ดพันธุ์ข้าว” และชาวนาอาสา 139,668 ราย ส่งผลให้ผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 450 กิโลกรัม เป็น 500 กิโลกรัม

ทั้งนี้ นายฉันทานนท์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน ให้ได้ครบ 12,500 แห่ง ภายในปี 2570 การเปิดตลาดส่งออกสินค้าเกษตร ผลักดันเปิดประตูขยายการส่งออกสินค้าเกษตร สร้างโอกาสให้เกษตรกรไทย โดยด้านพืช กรมวิชาการเกษตร ได้ยื่นคำขอเปิดตลาดส่งออกสินค้าพืช 3 รายการ (อยู่ระหว่างรอผลพิจารณาจากประเทศ คู่ค้า) ได้แก่ ใบชาแห้งไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ใบกระท่อมแห้งไปยังสาธารณรัฐอินเดีย และผลลำไยสดไปยังสาธารณรัฐฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ นายฉันทานนท์ กล่าวว่า ในส่วนของทุเรียนไทย มีนโยบายในการกำกับดูแลควบคุมคุณภาพทุเรียนทั้งระบบ โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกทุเรียนสำคัญ ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการตรวจสอบสาร Basic Yellow 2 (BY2) สำหรับทุเรียนส่งออกที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) แล้วจำนวน 12 แห่ง และห้องปฏิบัติการทดสอบสินค้าเกษตร และอาหารด้านพืชที่กรมวิชาการเกษตรยอมรับความสามารถในรายการทดสอบแคดเมียมในทุเรียน 13 แห่ง

นายฉันทานนท์ กล่าวว่า ด้านปศุสัตว์ เปิดตลาดส่งออกไก่พื้นเมืองมีชีวิต (Ayam Bangkok) ไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกไม่ต่ำกว่า 12,000 ตัว คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และด้านประมง เปิดตลาดส่งออกสินค้าปลากะพงขาวไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นความสำเร็จสร้างโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดสินค้าประมงคุณภาพ โดยมีเป้าหมายในการส่งออก 50,000 ตัน/ปี จัดทำระเบียบกรมประมงว่าด้วยการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการบริโภคสำหรับส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2568 และประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดส่งออกสินค้าปลาทองมีชีวิตจากไทยไปยังสหรัฐเม็กซิโก

สำหรับ 6 เดือนหลังจากนี้ในปี 2568 กระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมเปิดแนวทางเพื่อขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติม อาทิ การเปิดตลาดส่งออกเนื้อสัตว์ปีกดิบ เนื้อสุกร และผลิตภัณฑ์ไปยังฟิลิปปินส์ เปิดตลาดส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นและแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย การเปิดตลาดผลไม้ระหว่างไทยและญี่ปุ่น การเปิดตลาดส้มโอจากไทยไปนิวซีแลนด์ และการเจรจาแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกจากไทยไปจีน การจัดที่ดินทำกิน อีกหนึ่งนโยบายการสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีสิทธิและที่ดินทำกิน โดยมีการออกเอกสารสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ในพื้นที่ 66 จังหวัด เกษตรกร 17,452 ราย รวม 210,448 ไร่ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (กสน.3 และ กสน.5) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ 112 ราย รวม 136 แปลง จำนวน 954 ไร่ รวมทั้งปรับปรุง ส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าในที่ดินและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน มอบโฉนดเพื่อการเกษตร 42,973 ราย รวม 54,566 แปลง จำนวน 577,109 ไร่ โดย 6 เดือนหลังจากนี้ มีเป้าหมายจะออกเอกสารสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จำนวน 37,000 ราย รวม 240,000 ไร่ และตั้งเป้าสำหรับผู้ยื่นคำขอโฉนดเพื่อการเกษตร 1,066,643 แปลง ภายในปี 2568

นอกจากนี้ นายฉันทานนท์ กล่าวว่า ในส่วนของโครงการโฉนดต้นยางพาราเพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อ ได้มอบโฉนดต้นยางพารา เพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 10,161 แปลง ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สวนยางพารา 270 – 457 บาท/ต้น หรือ 18,900 – 31,990 บาท/ไร่ (เฉลี่ย 70 ต้น/ไร่) ทั้งนี้ มีเป้าหมายปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 529,650 แปลง นอกจากนี้กระทรวงเกษตรยังคงเข้มงวดกับการปราบปราม สินค้าเกษตรเถื่อน การมุ่งมั่นการแก้ไขปัญหา PM 2.5