สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายคุช เดไซ รองโฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ทันที หลังจากศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้รัฐบาลทรัมป์ระงับมาตรการตอบโต้ทางภาษีกับทั่วโลก โดยนายเดไซ ย้ำว่า รัฐบาลทรัมป์จะยึดหลักอเมริกาต้องมาก่อนและรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในทุกๆ ช่องทาง เพื่อรับมือกับวิกฤตของประเทศและฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ อีกครั้ง
การยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่น ให้รัฐบาลทรัมป์ระงับมาตรการภาษี 2 ฉบับ ฉบับแรกคือ มาตรการตอบโต้ทางภาษีศุลกากรทั่วโลก ตามประกาศของรัฐบาลทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน และฉบับที่ 2 คือ มาตรการภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโกและแคนาดา ตามที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศตั้งแต่ในวันแรกๆ หลังกลับมาบริหารประเทศสมัยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 โดยศาลให้เหตุผลว่า กฏหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน (IEEPA) ปี ค.ศ.1977 ตามที่รัฐบาลทรัมป์ยกมาเป็นเหตุผล ในการออกมาตรการทางภาษีดังกล่าว ไม่ได้ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรกับทุกประเทศทั่วโลก
ศาลย้ำว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้เป็นอำนาจพิเศษแก่สภาคองเกรสเพียงองค์กรเดียว ในการกำหนดมาตรการควบคุมการค้ากับต่างประเทศ นอกจากนี้ ประธานาธิบดี ไม่อาจจะยกเหตุผลเรื่องความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ และดำเนินการเรื่องนี้ โดยไม่ผ่านขั้นตอนให้สภาคองเกรสอนุมัติก่อน ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า คำพิพากษาเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์อย่างรุนแรง
จุดเริ่มต้นของคดีนี้ มาจากกลุ่มเอ็นจีโอสหรัฐฯชื่อว่า ลิเบอร์ตี จัสติส เซ็นเตอร์ (Liberty Justice Center) เป็นผู้ร้อง ยื่นต่อศาลในนครนิวยอร์ก โดยฟ้องในนามของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก 5 แห่ง ซึ่งประกอบธุรกิจนำเข้า สินค้าจากต่างประเทศมาขายในสหรัฐฯ และได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของรัฐบาลทรัมป์ พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของรัฐบาล ผู้ถูกร้อง