นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า 29 พฤษภาคม 2568 สายพันธุ์ที่พบใน กทม. ส่วนใหญ่เป็น NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ติดต่อง่ายแพร่กระจายเร็ว จากการตรวจสายพันธุ์ในขณะนี้เป็นจำนวนมาก โดยทำการศึกษาที่ศูนย์ของเรา ส่วนใหญ่เป็นในเขตกรุงเทพฯ สายพันธุ์ที่พบ เป็นสายพันธุ์ล่าสุด คือ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ทันสมัยกำลังจะระบาดใหญ่ทั่วโลก
สายพันธุ์นี้ถ้าดูตามรูปจะเป็นลูกหลานเหลนโหลนของ XDV ส่วน XDV ก็เป็นเหลนของโอมิครอน ไม่ได้แตกลูกหลานจากสายพันธุ์ XEC ที่ระบาดมาก่อนหน้านี้ สายพันธุ์ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ติดง่ายมาก มาตั้งแต่สมัยโอมิครอน ซึ่งมีอำนาจการกระจายโรคอยู่ที่ 3-6 หมายถึงผู้ป่วย 1 คน สามารถกระจายไปให้ผู้อื่นได้อีก 3-6 คน ในระยะเวลา 3-5 วัน การกระจายแบบนี้คงใช้เวลาแค่ 2 หรือ 3 เดือน ก็คงจะ กระจายไปได้เกือบหมดทั้งประเทศ
ความรุนแรงของโรค ไม่รุนแรง เพราะเป็นการติดเชื้อสายซ้ำอีก ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงคล้ายโรคทางเดินหายใจประจำฤดูกาลโรคหนึ่ง ไม่ตรวจก็ไม่เป็น ก็คือไม่รู้นั่นเอง การแพร่กระจายในช่วงนี้จึงกระจายได้เต็มที่ และก็จะลดลงหลังเดือนมิถุนายนไปแล้ว เหมือนเช่นปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรต้องวิตก เป็นการระบาดประจำฤดูกาลของปีนี้ และก็จะผ่านไป ปีหน้าก็คงเจอกันใหม่อีก ด้วยสายพันธุ์ใหม่ โควิดไม่ได้หายไปไหน
กรมควบคุมโรค แถลงข่าว ระบุว่า โรคโควิด-19 ในปี 2568 พบผู้ป่วยสะสม 211,717 ราย เสียชีวิต 51 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.02 จึงอยากให้ประชาชนตระหนักแต่ไม่ให้ตระหนก เพราะโควิด-19 เป็นเชื้อประจำถิ่น ที่พบผู้ป่วยได้มากในช่วงฤดูฝน และหนาว เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคอาร์เอสวี (RSV)
โดย 10 จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ ระยอง กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ ตราด และประจวบคีรีขันธ์ ขณะเดียวกัน อัตราการป่วยพบมากที่สุดในเด็กอายุ 0-4 ปี และเสียชีวิตมากในกลุ่มผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และสายพันธุ์โควิด-19 ที่พบมากที่สุดในตอนนี้คือ JN.1 ร้อยละ 63.92 โดยพบสายพันธุ์ XEC ลดลง ซึ่งต้องติดตามระยะต่อไป
การป้องกันและดูแลตัวเองจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจคือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงก็ให้ลดการเข้าพื้นที่เสี่ยง เช่น ห้างสรรพสินค้า คอนเสิร์ต สถานที่ที่มีการรวมคนจำนวนมาก ถ้าจะต้องไปก็ให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน แล้วขอให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโรค ขณะที่สถานศึกษาจะต้องมีมาตรการให้นักเรียนที่ป่วยพักอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่เชื้อ แล้วถ้าพบว่ามีนักเรียนป่วยมากกว่า 2 รายต่อสัปดาห์ ให้แจ้งกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด