นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2568 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยบริษัทการบินไทยและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 9,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7,416 ล้านบาท เติบโต 306.1%
ส่วนรายได้รวมของบริษัทการบินไทยและบริษัทย่อยอยู่ที่ 51,625 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5,670 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.3% โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากกิจการขนส่งที่เพิ่มขึ้น 5,116 ล้านบาท (12.1%) ประกอบด้วยรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 4,702 ล้านบาท (12.2%) และรายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์เพิ่มขึ้น 414 ล้านบาท (11.0%) รายได้จากกิจการอื่นเพิ่มขึ้น 277 ล้านบาท (10.6%)รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 277 ล้านบาท (25.8%)
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 การบินไทยมีเครื่องบินที่ดำเนินงานทั้งสิ้น 78 ลำ ให้บริการครอบคลุม 62 จุดบิน ใน 27 ประเทศทั่วโลก ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 บริษัทมีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินอยู่ที่ 13.7 ชั่วโมง จำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 4.33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.6 % ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 3,083 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร (21.1%) และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 2,549 ล้านคน-กิโลเมตร (20.8%)
อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) อยู่ที่ 83.3% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงน้ำมันและค่าเบี้ยประกันภัย ไม่รวมค่าน้ำหนักส่วนเกิน) อยู่ที่ 2.91 บาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.3 %
ในด้านการขนส่งสินค้า บริษัทมีปริมาณการผลิตด้านพัสดุภัณฑ์ (ADTK) เพิ่มขึ้น 191 ล้านตัน-กิโลเมตร (24.4%) และปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (RFTK) เพิ่มขึ้น 65 ล้านตัน-กิโลเมตร (15.6%) อัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (Freight Load Factor) ลดลงจาก 53.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 49.4%
อย่างไรก็ตาม รายได้จากพัสดุภัณฑ์เฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงน้ำมันและค่าเบี้ยประกันภัย ไม่รวมค่าไปรษณียภัณฑ์) เท่ากับ 8.58 บาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.2%
ด้านค่าใช้จ่าย บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,084 ล้านบาท (8.8%) ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เท่ากับ 13,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,586 ล้านบาท (23.3%)
บริษัทมีต้นทุนทางการเงิน (ซึ่งเป็นการรับรู้ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9: TFRS 9) จำนวน 3,481 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,127 ล้านบาท (24.5%)
กำไรต่อหุ้นของบริษัท เท่ากับ 0.35 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีกำไรต่อหุ้น 1.10 บาท เนื่องจากจำนวนหุ้นสามัญของบริษัทเพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 297,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 5,245 ล้านบาท (1.8%) หนี้สินรวมมีจำนวน 242,314 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 4,605 ล้านบาท (1.9%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทย่อย มีจำนวน 55,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,850 ล้านบาท (21.6%) จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567
ด้าน นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 เรื่อง การยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อแจ้งผลสำเร็จของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการและขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ
บริษัทฯ ระบุว่า ได้ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้ในข้อ 10.10 ของแผนฟื้นฟูกิจการครบถ้วนแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดของการดำเนินการสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
ประการแรก จดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุนตามที่กำหนดในข้อ 5.6 ของแผนฟื้นฟูกิจการ
ประการที่สอง ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด บริษัทฯ ยืนยันว่าตั้งแต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยไม่เกิดเหตุผิดนัดใด
ประการที่สาม บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดสำรองตามสัญญาเช่าเครื่องบิน ในช่วง 12 เดือนก่อนที่จะยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวก
โดยส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามที่ปรากฏในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ฉบับตรวจสอบสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 45,495 ล้านบาท
ประการที่สี่ มีการแต่งตั้งกรรมการใหม่ภายหลังจากมีการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นที่จัดขึ้นตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการ ได้มีมติอนุมัติการกำหนดจำนวนกรรมการ การแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ และการกำหนดกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทฯ และเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ผู้บริหารแผนจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อแจ้งผลสำเร็จของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการและขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อไป