นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยเชื่อว่า คณะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์รักษาทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 ผลการสอบสวนคงเสร็จทันในวันที่ 8 พ.ค. และอาจจะแถลงข้อเท็จจริง เพื่อยื่นต่อแพทยสภาประชุมพิจารณาอีกครั้ง
คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจของแพทยสภา มี นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธานอนุฯ เคยแถลงผลการสอบสวนมาครั้งแรกว่า ได้สอบสวนเสร็จแล้ว 99.99% ถัดจากนั้น กรรมการแพทยสภาชี้แจงผ่านเอกสารต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปโดยอ้าง รพ.ตำรวจส่งเอกสารใหม่จำนวนมากให้คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ พิจารณา ซึ่งจะครบในวันที่ 8 พ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม ผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมสอบสวนฯ ของแพทยสภา จะเป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการชี้ขาดจริยธรรมแพทย์ รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์ที่รักษาทักษิณ ซึ่งจะทำให้รู้ว่า ป่วยจริงหรือไม่ และป่วยวิกฤตหรือไม่
"ใครก็ตาม พยายามยื้อเพื่อเปลี่ยนดำเป็นขาวเท่ากับทำลายเกียรติภูมิของแพทยสภาแล้ว ยังทำลายกระบวนการสร้างความถูกต้องในชาติบ้านเมือง และคุณต้องพร้อมรับผลในอนาคต ซึ่งอาจติดคุกมากกว่าทักษิณ"
นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองรับไต่สวนกรณีส่งทักษิณไปรักษาชั้น 14 รพ.ตำรวจ ทำให้เห็นท่วงทำนองของแพทยสภาเริ่มเปลี่ยนไป โดยอาจหวั่นผวาจะถูกรับโทษในการยื้อเพื่ออุ้มทักษิณไม่ให้ถูกจำคุกสักวันเดียว
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงการรักษาทางการแพทย์เป็นเหตุผลสอดคล้องตามหลักวิทยาศาสตร์ จะหักล้างด้วยอำนาจและผลประโยชน์อื่นใดย่อมถูกจับได้ ดังนั้น ผลสอบสวนชุด นพ.อมร น่าจะเสร็จในวันที่ 8 พ.ค. แต่จะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาในวันที่ 8 พ.ค. หรือ อีกไม่กี่วันคงจะรู้
อีกทั้งกล่าวว่า คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ จะมีรายละเอียดข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน แล้วแพทยสภาจึงพิจารณาจากผลสอบสวนนี้ ดังนั้น ใครคนใดคนหนึ่งจะหักล้างเพื่อช่วยใครคงไม่ได้ เพราะผลสอบสวนมีข้อเท็จจริงและหลักฐานชัดเจนด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ใครจะมาคัดค้านก็ยาก อีกอย่างเรื่องนี้ประชาชนสนใจและเฝ้าติดตาม
"ไม่ได้หวังว่า ชั้น 14 จะจบลงในวันที่ 8 พ.ค. เพียงแต่ว่าผลการสอบสวนของอนุกรรมการฯ ชุด นพ.อมร จะเสร็จในวันที่ 8 พ.ค. ก็เพียงพอแล้ว และลองดูว่าหน้าไหนจะเปลี่ยนดำเป็นขาว"
นายจตุพร กล่าวว่า ตามกระบวนการแล้ว ถ้าคณะอนุกรรมการฯ ส่งผลสอบสวนให้คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาในวันที่ 8 พ.ค. คงได้รู้ผลการพิจารณา แต่ถ้าไม่ทันต้องเลื่อนการประชุมออกไป อย่างไรก็ตาม อาจเลื่อนเป็น 8 มิ.ย.หรือ 12 มิ.ย. ก่อนศาลฎีกานัดพร้อมหรือไต่สวนหนึ่งวันก็ได้ หรือศาลอาจเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่พร้อมไต่สวนคงต้องเลื่อนออกไป ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาล
พร้อมกล่าวว่า ทักษิณ จะไปศาลในวันนัดพร้อมหรือไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย. หรือไม่ ขึ้นกับดุลพินิจของศาลเช่นกัน ถ้าศาลเห็นว่าต้องไปจะออกหมายเรียกให้ไปศาล ดังนั้น จึงชี้ไม่ได้ว่า ศาลจะว่าอย่างไร นัดพร้อมใคร และจะออกหมายให้ใครไปศาลบ้าง
ส่วนนักกฎหมายแย้งว่า กรมราชทัณฑ์มีอำนาจส่งทักษิณไปรักษาที่ รพ.ตำรวจได้ นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าการสอบสวนพบว่าทักษิณ ป่วยไม่จริง ก็เป็นอำนาจราชทัณฑ์จะส่งไป รพ.ตำรวจรักษานานถึง 180 วันใช่หรือไม่ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลจะสู้ในประเด็นนี้ใช่หรือไม่
ดังนั้นข้อกฎหมายก็สู้กันไป แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงได้ ถ้าข้อเท็จจริงพบว่า เป็นขบวนการทำเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ให้รับโทษทางอาญา จะมาอ้างว่า อยู่ รพ.ตำรวจก็ถูกขังแล้ว แต่ปัญหามีว่าเขามีสิทธิ์ไป รพ.ตำรวจหรือไม่ และเขามีอาการขั้นป่วยวิกฤตจริงหรือไม่
นายจตุพร กล่าวว่า ที่อธิบายว่าราชทัณฑ์เป็นคนบริหารโทษ จึงเป็นแค่หลักการเท่านั้น แต่นักโทษต้องป่วยหนักจริงด้วย โดยที่ผ่านมา ไม่มีนักโทษไปรักษาตัวนอกเรือจำแบบอยู่นานๆ เช่นทักษิณ 180 วัน ซึ่งไม่ได้อยู่ในคุกแม้แต่วันเดียว ดังนั้น การไต่สวนจึงแสวงหาข้อเท็จจริงด้วย ไม่ใช่แค่การหาข้อกฎหมายอย่างเดียว
สิ่งสำคัญการบริหารโทษต้องบริหารตามข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอีกอย่างแล้วบริหารอีกอย่าง ดังนั้น ถ้าคนฝ่ายรัฐบาลทำผิดเพียงรอจังหวะจะไปติดคุกช่วงที่พรรคตัวเองบริหารประเทศ เพราะอำนาจการบริหารโทษอยู่ที่กรมราชทัณฑ์ สังกัดฝ่ายบริหาร บ้านเมืองจึงมีกระบวนการยุติธรรมป่นปี้
"การอธิบายเชิงข้อกฎหมาย ไม่ใช่การอธิบายเชิงโต้วาที ซึ่งศาลจะคิดด้วยหรือไม่ ถ้าข้อเท็จจริงไม่ใช่ แล้วคุณบอกมีอำนาจ แสดงว่าไปช่วยคนที่พิสูจน์แล้วไม่ป่วยวิกฤตจริง ยังจะมีสิทธิ์บริหารโทษแบบนี้หรือเปล่า คนเสนอให้สู้มุมนี้เพราะตัวเองไม่เกี่ยวข้องก็เสนอได้ พวกทะแนะทั้งหลายจะไปเอาสาระอะไรกับคนพันธุ์อย่างนั้น"
นายจตุพร กล่าวถึงกองเชียร์นางแบกฝ่ายทักษิณว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนที่คุณไม่ชอบหน้าจะว่าอย่างไร อาจถล่มวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นไปอีก สำหรับตนวิจารณ์นั้น ไม่ได้มีอคติ แม้จะไม่เห็นด้วยในหลายเรื่องของทักษิณและนายกฯ แต่กับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแล้ว ควรต้องมีมาตรฐานเดียว
ประเทศไทยต้องมาก่อน