xs
xsm
sm
md
lg

อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ 6 วัน รวม 1,377 ครั้ง เสียชีวิต 200 ราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง ในฐานะประธานการประชุมอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เป็นประธานแถลงข่าว ศปถ. ว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 16 เมษายน 2568 เกิดอุบัติเหตุ 155 ครั้ง ลดลงร้อยละ 36 ผู้บาดเจ็บ 149 คน ลดลงร้อยละ 37 ผู้เสียชีวิต 22 ราย ลดลงร้อยละ 31 โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ลำปาง 9 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ นราธิวาสและสงขลา จังหวัดละ 7 ครั้ง จังหวัดพัทลุง 6 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ลำปาง 9 คน รองลงมาได้แก่ สงขลา 8 คนและนราธิวาส 7 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ขอนแก่นและปทุมธานี เพชรบุรี ชัยภูมิ อ่างทอง จังหวัดละ 2 ราย ส่วนกรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี จันทบุรี นครปฐม นนทบุรี ศรีสะเกษ สงขลา หนองคาย หนองบัวลำภู เชียงราย เชียงใหม่ และแพร่ จังหวัดละ 1 ราย

สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 39.35 ตัดหน้ากระชั้นชิด 19.35 ดื่มแล้วขับ 14.84 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.63 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางหลวง ร้อยละ 37.42 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 15.01-18.00 น. ร้อยละ 21.29 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 16.96 เป็นเพศชายร้อยละ 62.57

สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 6 วันของการรณรงค์ (11 เมษายน-16 เมษายน 2568) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,377 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 1,362 คน ผู้เสียชีวิต รวม 200 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ พัทลุง 52 ครั้ง รองลงมาได้แก่ลำปาง 50 ครั้งและนราธิวาส 44 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ ลำปาง 56คน รองลงมาได้แก่พัทลุง 51 คน และนราธิวาส 49 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 16 ราย รองลงมา ได้แก่ สระแก้ว 9 ราย พิษณุโลกและเชียงรายจังหวัดละ 8 ราย

นายขจร​ กล่าวเพิ่มเติมว่า​ ได้กำชับเรื่องการเดินทางกลับให้เข้มงวดตามเส้นทางและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ส่วนในเรื่องของด่านต่างๆ ​และศูนย์บริการ โดยยังคงมีมาตรการเข้มตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ทำให้เปอร์เซ็นต์ของการเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตและบาดเจ็บลดลงอย่างเห็นได้ชัดกว่าร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน และขออย่าให้สื่อใช้คำว่าตัวเลขพุ่ง​เพราะอาจทำให้บางคนคิดว่าไม่ได้ทำมาตรการอะไร แต่แท้จริงแล้วตัวเลขลดลง