สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน หรือ (NBS) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ 5.4 ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบเป็นรายปีไม่เปลี่ยนแปลงจากอัตราการขยายตัวในไตรมาส 4/2567 และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวราวร้อยละ 5.1-5.2
เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 1 ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงจีน ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุดในอัตราร้อยละ 145
รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของตัวเลข GDP ในปี 2568 เอาไว้ที่ระดับประมาณร้อยละ 5 และประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรายการ โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม รัฐบาลจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นด้านการคลังเพิ่มเติม และให้คำมั่นว่าจะเพิ่มความพยายามในการสนับสนุนการบริโภคและลดผลกระทบของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจจีน
นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ในวันดังกล่าว โดยเขาให้คำมั่นว่านโยบายเศรษฐกิจของจีนจะเปลี่ยนไปมุ่งเน้นที่การสร้างประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและกระตุ้นการบริโภค พร้อมกับเปิดเผยว่า จีนวางแผนที่จะออกพันธบัตรพิเศษระยะยาวมูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวน หรือราว 1.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 1 ล้านล้านหยวน ในปี 2567 และรัฐบาลท้องถิ่นจะได้รับอนุญาตให้ออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 4.4 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.9 ล้านล้านหยวน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และปรับลดอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ ในเวลาที่เหมาะสม โดยถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณว่านโยบายการเงินของจีนจะยังอยู่ในลักษณะผ่อนคลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ