กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงกรณีที่มีการอภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับปัญหา PM2.5 พื้นที่เผาไหม้ในปี 2568 เพิ่มมากขึ้นจากปี 2567 การกล่าวอ้างว่าปริมาณ PM2.5 ลดลงไม่เป็นความจริง และ บกปภ.ช. โดย รมว.มท. ออกประกาศบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายในการห้ามเผาอย่างจริงจัง เคร่งครัด และเด็ดขาด ซึ่งสวนทางกับมติ ครม. ที่กำหนดให้มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิง รวมถึงการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีฝุ่น PM2.5 ที่กำหนดให้มีค่าฝุ่นตั้งแต่ 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรติดต่อกัน 5 วัน มีเกณฑ์ สูงเกินไป ทำให้ไม่มีจังหวัดใดประกาศเขตได้ และประเด็นหลักเกณฑ์การใช้เงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ. 2562 ไม่มีหลักเกณฑ์ที่รองรับการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับ PM2.5 โดย ปภ.ในฐานะหน่วยงานกลางของรัฐดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้
ประเด็นปัญหา PM2.5 พื้นที่เผาไหม้ในปี 2568 เพิ่มมากขึ้นจากปี 2567 การกล่าวอ้างว่าปริมาณ PM2.5 ลดลงไม่เป็นความจริงนั้น จากการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นที่เผาไหม้ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2568 พบมีพื้นที่เผาไหม้ จำนวน 3,822,200 ไร่ เปรียบเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบพื้นที่เผาไหม้ 1,039,400 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,782,800 ไร่ เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ต่อประชาชนให้มีน้อยที่สุด รัฐบาลจึงได้ยกระดับมาตรการควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาดทั่วประเทศ ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีพื้นที่เผาไหม้ จำนวน 4,149,995 ไร่ ลดลงจากปี 2567 จำนวน 115,905 ไร่ ส่วนข้อมูลจุดความร้อน หรือ Hotspot พบว่า ปี 2567 (ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 23 มี.ค. 67) มีจำนวนจุด Hotspot รวม 73,700 จุด ส่วนข้อมูลปี 2568 ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 23 มี.ค. 68 (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA) พบว่า มีจำนวนจุด Hotspot รวม 62,415 จุด ซึ่งลดลงจำนวน 11,285 จุด คิดเป็นร้อยละ 15.31
สำหรับประเด็นที่กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายในการห้ามเผาอย่างจริงจัง เคร่งครัด และเด็ดขาด ซึ่งสวนทางกับมติคณะรัฐมนตรีที่ได้กำหนดให้มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิง นั้น จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 จนถึงเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา สถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีความรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลมีความห่วงใยของพี่น้องประชาชน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ซึ่งเป็นกลไกระดับชาติในการควบคุมสั่งการการจัดการสาธารณภัย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 โดยได้เปิดปฏิบัติการ (Activate) กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2567 โดยได้มีการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2568 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน (วันที่ 24 มีนาคม 2568) รวม 27 ครั้ง พร้อมทั้งได้กำหนดนโยบาย มาตรการ และข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในภาพรวมของประเทศที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ตั้งแต่การป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ การบังคับใช้กฎหมาย การดูแลสุขภาพของประชาชน การบริหารจัดการในภาพรวม และการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน รวมทั้งได้มีมาตรการที่เข้มข้น เพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาดในทุกพื้นที่ โดยการป้องปรามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด มีการดำเนินคดีกับผู้ที่ลักลอบเผาในทุกกรณี ควบคู่กับการใช้กลไกท้องถิ่นและท้องที่ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการลดการเผาทั้งในพื้นที่เกษตรพื้นที่ป่า และพื้นที่ชุมชน/ในเขตเมือง ส่งเสริมให้ประชาชนนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นกระบวนการที่อยู่ในช่วงระยะเตรียมการ ทั้งการทำแนวกันไฟ การประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและความร่วมมือ รวมถึงการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในระยะต้น ในระยะเกิดเหตุจึงจำเป็นที่จะต้องยกระดับมาตรการในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้มีความเข้มข้นขึ้นตามระดับความรุนแรงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ในส่วนของประเด็นเกณฑ์ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยการให้ความช่วยเหลือใช้หลักเกณฑ์สูงเกินไปนั้น ปภ. ขอเรียนว่า หลักเกณฑ์การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) กำหนดเกณฑ์ค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในบรรยากาศโดยทั่วไปมีค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป ติดต่อกัน 5 วัน ให้พิจารณาประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และเมื่อภัยพิบัติยุติลง เป็นตัวเลขที่ได้จากความเห็นทางวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่สร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุม และการรักษาโรคภัย ว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่ 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยกรมบัญชีกลางได้ให้ความเห็นว่า การกำหนดตัวเลขค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ตั้งแต่ 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป ติดต่อกัน 5 วัน เป็นตัวเลขที่ได้มาจากความเห็นทางวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข โดยตัวเลขดังกล่าวจะเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สอดคล้องกับงานวิจัยความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตในประเทศต่างๆ ประกอบกับฝุ่น PM2.5 มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จึงกำหนดระยะเวลาติดต่อกัน 5 วัน เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือที่ชัดเจนและเหมาะสม นอกจากนี้ กรมควบคุมมลพิษยังได้ให้ความเห็นว่าจะต้องมีการสัมผัสติดต่อกัน 24 ชั่วโมง จึงจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ จึงกำหนดค่ามาตรฐานเป็นค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง สำหรับกรมอุตุนิยมวิทยา อาจใช้การคาดการณ์สภาพอากาศ เพื่อดูแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น การกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่มีข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งจะทำให้มีเกณฑ์ตัวเลข ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันในการประกอบการพิจารณาประกาศเขตฯ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนหลักเกณฑ์ฯ โดยกรุงเทพมหานครได้มีหนังสือขอให้ ปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางทบทวนหลักเกณฑ์ให้มีค่า PM2.5 อยู่ที่ 90-100 ไมโครกรัม/ลบ.ม. โดย ปภ. ได้ขอความเห็นไปยังกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เบื้องต้นกรมควบคุมมลพิษได้ให้ความเห็นมาแล้วว่า ให้ปรับลงจาก 150 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เป็น 125 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ซึ่งเมื่อได้รับความเห็นจากทั้ง 2 หน่วยงานแล้ว ปภ. จะได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดค่าที่เหมาะสม และขอความเห็นไปยังกรมบัญชีกลางต่อไป พร้อมทั้งประกาศใช้และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ ปภ.จะติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) อย่างใกล้ชิด พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน