นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ เวลาประมาณ 08.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ที่เดินทางไปพร้อมกัน เพื่อส่งชาวอุยกูร์ที่อยู่ห่างไกลกลับไปพบกับครอบครัวในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยจะติดตามอย่างต่อเนื่องหลังรัฐบาลจีนให้ความมั่นใจอีกครั้งว่า พวกเขาคือพลเมืองจีนที่จะต้องดูแลเป็นอย่างดี โดยเลขาธิการ สมช. มั่นใจว่าหลังจากเดินทางส่งชาวอุยกูร์ถึงบ้านแล้ว ได้วางกรอบไว้ว่าประมาณ 15 วัน – 1 เดือน คณะผู้แทนระดับสูงของไทยจะบินไปติดตามพันธสัญญาที่ทั้งสองประเทศให้ไว้ต่อกันอย่างต่อเนื่อง
คณะผู้แทนไทยรายงานด้วยว่า ได้อยู่สังเกตการณ์และตรวจสอบชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับสู่แผ่นดินแม่ในรอบ 11 ปี ที่เรียกว่า "11 Year Mission Possible" โดยชาวอุยกูร์ 40 คน เดินทางถึงเมืองคาซือ หรือ เมืองคัชการ์ มณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับบ้านเกิดของชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าวมากที่สุด หลังจากได้รับการตรวจสุขภาพ และได้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ใกล้เมืองคาซือ ในระยะไม่เกิน 140 กิโลเมตร และกลุ่มที่อยู่ไกลจากเมืองคาซือกว่า 1,000 กิโลเมตร เนื่องจากมณฑลซินเจียงมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า รัฐบาลจีนจึงได้จัดยานพาหนะเพื่อส่งกลับไปตามบ้านเกิดที่กระจายในหลายเมืองของมณฑลดังกล่าว
โดยในช่วง 14.00 น. วานนี้ (ศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์) นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมคณะ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ได้เข้าไปสังเกตการณ์การเดินทางส่งกลับในจุดที่ห่างจากเมืองคาซือ ที่อำเภอเจียซือ ห่างจากเมืองคาซือ ประมาณ140 กิโลเมตร โดยชาวอุยกูร์ที่ผ่านการตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้วเดินทางถึงบ้านเกิดด้วยความปลอดภัย ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว พวกเขาเหล่านั้นแสดงความดีใจที่ได้กลับมาพบกับครอบครัว และบางคนเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับหลานๆ สมาชิกใหม่ของครอบครัว ซึ่งบางคนที่สามารถพูดภาษาไทยได้บ้าง ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดูแลตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ต่อมาช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. วันเดียวกัน คณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ในโรงพยาบาลประจำอำเภอเจียซือ พวกเขาได้ฝากความระลึกถึงและขอบคุณผู้แทนจากสำนักจุฬาราชมนตรีที่เข้ามาเยี่ยม และร่วมประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งเลี้ยงอาหารฮาลาล ในระหว่างที่อยู่ในห้องกักของ สตม.
นายฉัตรชัย เปิดเผยว่า เท่าที่ตนเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง พร้อมรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและคณะ รู้สึกได้ถึงความผูกพันระหว่างชาวอุยกูร์กับเจ้าหน้าที่ของ สตม. ทำให้การส่งกลับเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยยืนยันในส่วนของการส่งกลับ ประเทศไทยได้พิจารณาในทุกมิติ ประเทศไทยได้พยายามเจรจากับรัฐบาลจีนมาตลอดระยะเวลา 10 ปี เพื่อกำหนดเงื่อนไขให้จีนรับรองความปลอดภัยของการส่งกลับชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าว และต้องอนุญาตให้คณะผู้แทนไทยสามารถเดินทางไปตรวจเยี่ยมภายหลังจากการส่งกลับได้ แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ จนมาในยุครัฐบาลปัจจุบันที่รัฐบาลจีนได้มีหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการ และการพบปะหารือระดับผู้นำประเทศในห้วงการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในโอกาสการสถานปนาความสัมพันธ์ไทย – จีน ครบรอบ 50 ปี ของนายกรัฐมนตรี ทางการจีนก็ยืนยันในหลักการรับรองความปลอดภัยด้วยอีกครั้ง
นอกจากนี้ ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้จัดการแสดงวัฒนธรรมในย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร โดยหนึ่งในการแสดงมีการแสดงของชาวอุยกูร์ สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับของรัฐบาลจีนต่ออัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ด้วย
ทั้งนี้ ก่อนการส่งกลับชาวอุยกูร์ จีนได้ส่งคลิปญาติพี่น้องของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่แสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในบ้านเกิดของตนเองในปัจจุบัน ซึ่งต่างจากเมื่อ 11 ปีที่แล้ว จนทำให้ชาวอุยกูร์ต้องการจะเดินทางกลับ เนื่องจากติดอยู่ในห้องกักมาเกือบ 10 ปี และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้นำเนื้อหาในหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการจากทางการจีน มาแปลเป็นภาษาอุยกูร์เพื่อให้ชาวอุยกูร์ในห้องกักดู จนนำมาสู่การเดินทางกลับโดยสมัครใจในท้ายที่สุด
นายจิรายุ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการเดินทางเยือนจีนเพื่อสังเกตการณ์และตรวจเยี่ยมการส่งกลับชาวอุยกูร์ครั้งแรกของคณะผู้แทนไทย จะเดินทางกลับในวันอาทิตย์นี้ พร้อมสรุปรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบภายใน 7 วัน โดยจะมีการติดตามตรวจสอบตามว่าชาวอุยกูร์ 40 คนที่กลับแผ่นดินแม่ จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีสิทธิเสรีภาพต่อไป ตามเจตจำนงของทั้งสองประเทศ ส่วนการเดินทางครั้งที่ 2 เมื่อคณะดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทยและมีการสรุปรายงานเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจะกำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์อีกครั้งในระยะเวลาประมาณ 15-30 วัน ซึ่งรัฐบาลไทยยืนยันถึงความโปร่งใส และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสื่อมวลชนเดินทางร่วมในการตรวจเยี่ยมดังกล่าวด้วย