xs
xsm
sm
md
lg

มติ ป.ป.ช.ชี้มูลอดีตนายกเทศมนตรีสากเหล็กร่ำรวยผิดปกติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายสุพจน์ ศรีงามเมือง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 7 รักษาราชการแทน รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 6 ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 เปิดเผยเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 ดำเนินการไต่สวน จำนวน 1 เรื่อง มีรายละเอียด ดังนี้

กรณีกล่าวหา นายสมควร ภู่ประเสริฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสากเหล็ก อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จำนวน 3,874,500 บาท

ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ดังนี้

ผู้ถูกกล่าวหา เข้ามีส่วนได้เสียในโครงการขุดสระน้ำ (แก้มลิง) หมู่ที่ 8 ตามสัญญาจ้าง เลขที่ 1/2553 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2552 และโครงการจ้างเหมาก่อสร้างขยายถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายวัดสากเหล็กเหนือ ตามสัญญาจ้าง เลขที่ 7/2553 ลงวันที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นโครงการในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลสากเหล็ก โดยการเชิดห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. และนางสาว น. เข้าทำสัญญากับเทศบาลตำบลสากเหล็ก ตามลำดับ ทั้งนี้ นายสมควร  ภู่ประเสริฐ ได้รับเงินค่าจ้างจากโครงการดังกล่าว จำนวน 2,000,000 บาท และจำนวน 1,874,500 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 3,874,500 บาท

โครงการขุดสระน้ำ (แก้มลิง) หมู่ที่ 8 ตามสัญญาจ้าง เลขที่ 1/2553 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2552 นายสมควร ภู่ประเสริฐ ในฐานะนายกเทศมนตรีตำบลสากเหล็ก ลงนามในสัญญาจ้างดังกล่าว ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. ขุดสระน้ำ (แก้มลิง) หมู่ที่ 8 ค่าจ้าง 6,294,000 บาท เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีการเบิกจ่ายเงินในงวดที่ 3 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายให้แก่ผู้รับจ้างเป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสากเหล็ก สั่งจ่ายห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. จำนวน 2,992,885.23 บาท ปรากฏว่า มีการนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

ชื่อบัญชี ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. จำนวน 2,992,885.23 บาท ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 และถอนเงินดังกล่าว โดยทำรายการถอนเป็นเงินสด จำนวน 992,000 บาท และถอนโดยการโอน จำนวน 2,000,000 บาท นำฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี นายสมควร ภู่ประเสริฐ ในวันเดียวกัน

โครงการจ้างเหมาก่อสร้างขยายถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายวัดสากเหล็กเหนือ ตามสัญญาจ้าง เลขที่ 7/2553 ลงวันที่ 7 เมษายน 2553 นายสมควร ภู่ประเสริฐ ในฐานะนายกเทศมนตรีตำบลสากเหล็ก ลงนามในสัญญาจ้างดังกล่าว ว่าจ้างนางสาว น. ก่อสร้างขยายถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายวัดสากเหล็กเหนือ ค่าจ้างก่อสร้าง 1,893,500 บาท เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีการเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างเป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสากเหล็ก ซึ่งสั่งจ่ายนางสาว น. จำนวน 1,874,565 บาท ปรากฏว่า มีการนำเช็คดังกล่าวไป ขึ้นเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี นางสาว น. ในวันที่ 18 สิงหาคม 2553 และถอนเงิน จำนวน 1,874,500 บาท นำฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี นายสมควร ภู่ประเสริฐ ในวันเดียวกัน

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้

การกระทำของนายสมควร ภู่ประเสริฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสากเหล็ก อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จำนวน 3,874,500 บาท

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่งเพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคห้า ต่อไป

หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ด้วย

อย่างไรก็ดี มติการชี้มูลคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาชี้ขาด