xs
xsm
sm
md
lg

สภาพัฒน์เผยหนี้สินครัวเรือน Q3/67 ขยายตัวในอัตราชะลอลง สถานการณ์การจ้างงานลดลงเล็กน้อย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2567 สถานการณ์การจ้างงานลดลงเล็กน้อย โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ หนี้สินครัวเรือน (ไตรมาสสาม ปี 2567) ขยายตัวในอัตราชะลอลง แต่หนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่แย่ลง สำหรับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง และการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมที่น่านใจ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) คนต่างด้าวกับระบบสาธารณสุขชายแดน (2) ผลกระทบของการใช้สมาร์ตโฟนต่อสุขภาพจิตของ Gen Z : บทเรียนจากต่างประเทศ (3) การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลจากภัยไซเบอร์ที่ไม่รู้ตัว รวมทั้งนำเสนอบทความเรื่อง "การบรรลุเป้าหมายSDGs ในการยุติความยากจนหลายมิติ"

สำหรับอัตราการผู้มีงานทำไตรมาส 4 ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 40.1 ล้านคน ลดลงจากไตรมาสสี่ ปี 2566 เล็กน้อย 0.4% จากการลดลงอย่างต่อเนื่องของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ 3.6% ขณะที่ภาพรวมสาขา นอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้ที่ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคารที่ขยายตัว 9.4% และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้าที่ขยายตัวตามการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนสาขาการผลิตขยายตัวเล็กน้อย 0.3% จากอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตยานยนต์ และการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี การจ้างงานยังหดตัวลงต่อเนื่อง

ขณะที่ชั่วโมงการทำงานโดยรวมเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 42.8 และ 47.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามลำดับ โดยผู้ทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้น 1.5% แต่ผู้เสมือนว่างงานและผู้ทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ที่ 1.9% และ 6.0% ตามลำดับ อัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นอยู่ 0.88% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 3.6 แสนคน ซึ่งในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่ออกมาจากสาขาการผลิต และสาขาการขายส่ง/ขายปลีก ภาพรวมปี 2567 อัตราการมีงานทำ ปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ทรงตัวจากปี 2566 โดยจำนวนผู้มีงานทำมีจำนวน 39.8 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ 0.3% ขณะที่อัตราการว่างงานในปี 2567 อยู่ที่ 1.00%

สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่ (1) การกีดกันทางการค้าในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษีจากสหรัฐอเมริกาซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกและการจ้างงาน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งไทยยังมีประเด็นด้านการจัดการการค้ามนุษย์ ที่ได้รับการจัดอันดับรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาให้อยู่ในระดับ Tier 2 มาตั้งแต่ปี 2565 (2) การตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างชาติ เพื่อป้องกันการทำงานอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งแม้ว่าไทยจะมีมาตรการนำเข้าและต่ออายุแรงงานต่างด้าวตาม MOU แต่ยังพบการกระทำผิดของสถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก และ (3) แรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์จำนวนมากยังไม่ได้ใช้สิทธิลาคลอดเต็มจำนวน โดยเฉลี่ยใช้เพียง 30-59 วัน จากสิทธิวันลาคลอดทั้งสิ้น 98 วัน เนื่องจากต้องการรายได้/โอที รวมทั้งการกลัวถูกลดโบนัส แม้ว่าองค์การอนามัยโลกจะสนับสนุนให้บุตรได้ทานนมแม่ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนก็ตาม