นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 ว่า สมาคมคาดว่าการส่งออกจะอยู่ที่ 7.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ลดลงจากการส่งออกข้าวในปีก่อนหน้าที่สามารถส่งออกข้าวได้มากถึง 9.9 ล้านตัน เนื่องจากอินเดียซึ่งเป็นตลาดส่งออกข้าวรายใหญ่กลับมาส่งออกข้าวขาวมากขึ้นแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการส่งออกข้าวขาวไทย อาจทำให้การส่งออกในส่วนของข้าวขาวลดลงอย่างน้อย 2 ล้านตัน
โดยปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกข้าวไทย คืออัตราแลกเปลี่ยน การผันผวนรวดเร็วจะยิ่งส่งผลกระทบทำให้ราคาข้าวของไทยไม่นิ่ง ผู้ส่งออกไม่กล้ากำหนดราคาขาย โดยอยากได้อัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ ไม่ควรแกว่งตัวมาก โดยอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพให้มากกว่าที่เป็นอยู่ โดยอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อการแข่งขันด้านราคาข้าวในตลาดโลกที่เวลานี้ข้าวไทยแพงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังต้องมีการติดตามมาตรการในเรื่องของประเทศผู้นำเข้าซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ผลผลิตของประเทศไทยในปีนี้มีมาก จูงใจทำให้ชาวนามีการปลูกข้าวมากขึ้น ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักมีเพียงพอต่อการทำข้าวนาปรัง จึงต้องมีการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าราคา หากรัฐบาลต้องการที่จะช่วย อยากให้ช่วยในเรื่องของการผลิต ไม่ใช่ราคา อยากให้เป็นไปตามกลไกเพราะหากตั้งราคาสูงเกินไปจะทำให้ปริมาณข้าวล้นอยู่ในประเทศ ไม่ควรบิดเบือนราคา สิ่งที่ควรช่วยชาวนาอย่างจริงจังคือปัจจัยด้านการผลิต และอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถช่วยได้คือการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าหรือไม่แกว่งตัวจนเกินไป
นอกจากนี้ ควรที่จะมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้อนาคตของข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลกต่อไป ตอนนี้ผลผลิตต่อไร่ของไทยต่ำที่สุดในโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ เวียดนาม 800 กิโลกรัมต่อไร่ สหรัฐอเมริกา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่
ขณะเดียวกัน ต้องจับตานโยบายในการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลทำให้ตลาดค้าข้าวในสหรัฐฯ ของไทยมีความเงียบเหงา หากปรับขึ้นภาษีร้อยละ10 จะทำให้ข้าวไทยแพงขึ้นอีกโดยตลาดสหรัฐฯ ถือว่าเป็นตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิหลักของไทย หากมีผลจะยิ่งส่งผลกระทบกับการส่งออกเข้าในภาพรวมได้