นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการเสริมสร้างความเชื่อมั่นการใช้ยาจากสมุนไพรสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โดยมี นพ.ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เข้าร่วม
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการใช้ยาในระบบสาธารณสุขของรัฐประมาณ 70,500 ล้านบาท เป็นยาแผนตะวันตก 69,000 ล้านบาท เป็นยาสมุนไพรเพียง 1,500 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประมาณ 400 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่มียาสมุนไพรหลายชนิด ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุขจึงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการสั่งใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 และไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ในปี 2569 เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ป่วย ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ สนับสนุนการยกระดับภูมิปัญญาไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในประเทศ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนขอให้บุคลากรทางการแพทย์มีความเชื่อมั่นในยาสมุนไพร และเชิญชวนให้สั่งใช้รักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาสมุนไพร 10 รายการ ใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย ได้แก่ ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ยาฟ้าทะลายโจร รักษาไข้หวัดและโควิด-19 ยาขมิ้นชัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาเพชรสังฆาต ช่วยเรื่องท้องผูกริดสีดวงทวาร ยาขิง บรรเทาอาการวิงเวียน ยามะระขี้นก แก้เบื่ออาหาร ยากล้วย บรรเทาอาการท้องเสีย ยาหอมเทพจิต ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ ยาพริก แก้อาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต และ ยาว่านหางจระเข้ ใช้ทาผิวหนัง แผล จึงมอบนโยบายให้ช่วยกันผลักดันการใช้ยาสมุนไพร เชื่อว่าจะเป็นการสร้างรายได้ให้ประเทศ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ให้กับพืชสมุนไพรไทย
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังยกตัวอย่างรายการสมุนไพรทดแทนแผนยาปัจจุบัน 5 รายการหลัก ได้แก่
1. ครีมไพร ทดแทน อานาเจสิก บาร์ม
2. ยาประศระมะแว้ง ทดแทน ยาแก้ไอ เช่น จีจี ไซรับ
3. ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย ทดแทน ยาขับลม เช่น เอ็มคาร์มิเนทิฟ
4. เพชรสังฆาต แทนยา เดฟลอน
5. มะขามแขก ใช้แทน ไบซาโคดิล ซึ่งรายการยา
ทั้งนี้ ที่ยกตัวอย่าง หมอสามารถเลิกใช้ยาแผนปัจจุบันได้เลย โดยถ้าช่วยส่งเสริมก็จะมีรางวัล เป็นงบประมาณในการพัฒนาให้แต่ละพื้นที่รวมกว่า 60 ล้านบาท จะได้ช่วยกันส่งเสริมสมุนไพรไทยกันอย่างเต็มที่ ซึ่งล่าสุดก็ช่วยผลักดันสมุนไพรไทยไปเปิดตลาดตะวันออกกลาง โดยให้นำร่องนำยาดม ยาหม่อง ไปในช่วงพิธีฮัจย์ก่อน เพราะมีคนเดินทางไปร่วมนับล้านคน ส่วนปีถัดไป ก็ขอให้เพิ่มยาไปเรื่อยๆ