นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Global Markets: เกษตรไทยผงาดตลาดโลก" โดยระบุว่า ปัจจุบันเวทีโลกให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรของไทย องค์กรนานาชาติที่เกี่ยวกับเรื่องของอาหารและการเกษตรมาตั้งสำนักงานสาขาที่เรียกว่า สำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยครบหมดแล้ว เนื่องจากเห็นว่า ไทยมีความพร้อมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของภาคการเกษตร
จากข้อมูลปี 2567 ไทยออกสินค้าเกษตรร่วม 1.8 ล้านล้านบาท โดยเกินดุลถึง 1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ประเทศที่ไทยส่งสินค้าเกษตรออกไปคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ข้าวมีมูลค่าส่งออกเยอะที่สุด รองลงมาคือ เนื้อไก่ ทุเรียน ยางพารา โดยไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลก โดยปี 2567 ราคายางพาราเพิ่มขึ้นร่วม 40 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้ภาระงบประมาณ ไม่ต้องใช้ภาษี ถ้าดูในภาพรวมแล้ว การส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 15 จากปีก่อนหน้านั้นอยู่ลำดับที่ 16 ปีนี้ขยับขึ้นมา ซึ่งเราก็หวังว่าเราจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณ ไม่ใช่แค่ปริมาณอย่างเดียว
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง จึงสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่ที่เหมาะสมปลูกกาแฟหรือโกโก้ โดยกำลังทำงบประมาณเพื่อที่เราจะสนับสนุนให้มีรายได้ที่สูงขึ้น รวมไปถึงการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้วิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราสามารถลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกได้กว่า 50% และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซที่จะไปสร้างภาวะเรือนกระจกได้
นางนฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความท้าทายของภาคเกษตรไทยคือ การที่มีประชากรสูงวัยจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มเกษตรกรด้วย แม้มีปัจจัยพร้อมในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและส่งออกให้ชาวโลกได้ แต่หากไม่มีเกษตรกรรุ่นใหม่เข้ามาเพิ่ม ท้ายที่สุดจะไม่สามารถเดินต่อไปได้อย่างยั่งยืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงพยายามที่จะสนับสนุนให้ Young Smart Farmer เข้ามาให้มากขึ้น