นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ระบุว่า #ฝากกกตพิจารณา
ผมเข้าใจว่า ตอนนี้ กกต.กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตก เพราะการตีความของ กกต. มันขัดความรู้สึกของพี่น้องประชาชน
โดยเฉพาะระเบียบ กกต.ปี ๒๕๖๓ ข้อ ๔ เขียนคำนิยาม
"ผู้ช่วยหาเสียง'"หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
และนิยาม"ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง'"หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
ถ้าตามความเข้าใจ คนที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียง เลือกตั้งท้องถิ่น ควรจะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น แต่กกต.ไปตีความว่า แค่มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นไหนก็ได้ จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ทั่วประเทศ
เอาเข้าจริงๆ กกต. ก็ตีความระเบียบขัดแย้งกับ พรบ.เลือกตั้งท้องถิ่นหรือแม้แต่ระเบียบนี้
เพราะคำว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตามนิยามนี้ รายละเอียดกฎหมายยังไปขยาย เข้าใจได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น
กลายเป็นว่าคนที่จะเป็น ผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไปตีความว่า ท้องถิ่นใดก็ได้ แต่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเป็นคำเดียวกันแท้ๆ ระเบียบเดียวกัน กฎหมายเดียวกัน แต่กลายเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น ซึ่งทำไมมันย้อนแย้งกัน เพราะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในระเบียบเดียวกัน
นอกจากนี้ กกต.ควรต้องพิจารณาทบทวนระเบียบ เกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง ถึงบทบาทว่าจะให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงหรือเป็นผู้นำหาเสียง เพราะการเป็นผู้ช่วยหาเสียง ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติในนโยบายที่พูด ที่สำคัญคือคนที่ทำผิดกฎหมาย ควรมีข้อจำกัด
อย่าลืมนะครับว่า การพัฒนาประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่นักการเมืองและพรรคการเมือง องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดูุล ต้องมีส่วนร่วมในการ ร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาประชาธิปไตยด้วย
ผมเข้าใจว่า ตอนนี้ กกต.กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตก เพราะการตีความของ กกต. มันขัดความรู้สึกของพี่น้องประชาชน
โดยเฉพาะระเบียบ กกต.ปี ๒๕๖๓ ข้อ ๔ เขียนคำนิยาม
"ผู้ช่วยหาเสียง'"หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
และนิยาม"ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง'"หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
ถ้าตามความเข้าใจ คนที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียง เลือกตั้งท้องถิ่น ควรจะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น แต่กกต.ไปตีความว่า แค่มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นไหนก็ได้ จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ทั่วประเทศ
เอาเข้าจริงๆ กกต. ก็ตีความระเบียบขัดแย้งกับ พรบ.เลือกตั้งท้องถิ่นหรือแม้แต่ระเบียบนี้
เพราะคำว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตามนิยามนี้ รายละเอียดกฎหมายยังไปขยาย เข้าใจได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น
กลายเป็นว่าคนที่จะเป็น ผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไปตีความว่า ท้องถิ่นใดก็ได้ แต่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเป็นคำเดียวกันแท้ๆ ระเบียบเดียวกัน กฎหมายเดียวกัน แต่กลายเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น ซึ่งทำไมมันย้อนแย้งกัน เพราะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในระเบียบเดียวกัน
นอกจากนี้ กกต.ควรต้องพิจารณาทบทวนระเบียบ เกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง ถึงบทบาทว่าจะให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงหรือเป็นผู้นำหาเสียง เพราะการเป็นผู้ช่วยหาเสียง ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติในนโยบายที่พูด ที่สำคัญคือคนที่ทำผิดกฎหมาย ควรมีข้อจำกัด
อย่าลืมนะครับว่า การพัฒนาประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่นักการเมืองและพรรคการเมือง องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดูุล ต้องมีส่วนร่วมในการ ร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาประชาธิปไตยด้วย