นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงกระบวนการการรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่องกำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้ามและวิธีการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 พ.ศ. ... สำหรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 หรือระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ ที่ครบกำหนดรับฟังความเห็นไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ว่า ตอนนี้ราชทัณฑ์กำลังประมวลความคิดเห็นของประชาชนทั้งหมดที่ได้มีการเสนอเข้ามา และจะดูว่ามีประเด็นใดบ้างที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข เสนอแนะ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราปรับปรุงแก้ไขแล้วก็จะได้มีการพูดคุยกันภายในกรมราชทัณฑ์ เพื่อสามารถประกาศใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำได้ เนื่องจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อีกทั้งกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าต้องไปดำเนินการผ่านกระบวนการใดอีก ทั้งนี้ ทราบว่ามีผู้เข้ามาเสนอความคิดเห็นหลายร้อยราย
นายสหการณ์ เปิดเผยอีกว่า ในการทบทวนปรับปรุงแก้ไขระเบียบดังกล่าวจากการรับฟังความเห็นนั้น ราชทัณฑ์ต้องรับฟังทั้งในแง่ของนักวิชาการ และดูหลักสากลประกอบกัน เพื่อได้มาถกกันในส่วนของคณะทำงานของราชทัณฑ์ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนก่อนมีการประกาศใช้ ซึ่งเมื่อนั้นถ้าตนลงนามแล้วก็สามารถประกาศใช้ได้
สำหรับกรอบเวลาที่จะมีการบังคับใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ คาดว่าอาจจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ส่วนจะมีกลุ่มผู้ต้องขังประเภทใดเข้าเกณฑ์บ้างนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการสำรวจ เพราะที่กำหนดไว้มีทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการจำแนก กลุ่มที่ต้องได้รับการพิจารณาพฤตินิสัย กลุ่มเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และกลุ่มผู้ต้องขังเจ็บป่วย ดังนั้นหากสำรวจแล้วเสร็จจึงจะมีการพิจารณาถึงสถานที่ที่จะใช้ในการคุมขังและระบบการดูแล แต่คงยังประกาศไม่ได้ว่าจะเป็นกลุ่มใดก่อน แต่เป็นไปได้ก็อยากทำทุกกลุ่มพร้อมกัน เมื่อหลักเกณฑ์ประกาศใช้ ราชทัณฑ์จะมอบหมายให้แต่ละเรือนจำทั่วประเทศรับไปดำเนินการ และให้พิจารณาว่าผู้ต้องขังรายใดมีคุณสมบัติ และสถานที่สำหรับคุมขังอื่นต้องรองรับด้วย เช่น ถ้าเป็นสถานที่สำหรับติดกล้องวงจรปิด ก็ต้องเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อยทุกด้าน
นายสหการณ์ กล่าวต่อว่า หากสถานที่คุมขังอื่นดังกล่าวเป็นบ้านพัก ก็ต้องมีการติดกล้องวงจรปิด ส่วนการติดกำไล EM หรือไม่นั้น จะเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ ไม่ต้องเสนอต่อศาลว่าจะมีการติดกำไล EM บุคคลใด เพราะเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ตนอยากให้เข้าใจว่า หากเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาด จะเป็นอำนาจการบริหารของกรมราชทัณฑ์ และยืนยันว่าผู้ต้องขังที่ไปคุมขังยังสถานที่อื่นก็ยังต้องโทษอยู่ แค่เปลี่ยนจากเรือนจำเป็นสถานที่คุมขังอื่นเท่านั้น ระบบการควบคุมดูแลปฏิบัติจะเสมือนอยู่ในเรือนจำ อาทิ การติดกล้องวงจรปิด มีการสื่อสารระหว่างเจ้าของสถานที่กับเจ้าหน้าที่เรือนจำ และต้องมีการลงไปตรวจสอบพื้นที่เป็นระยะๆ รวมทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่คุมขังอื่น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการหรือเอกชน ก็ต้องดูแลไม่ปล่อยให้ผู้ต้องขังหลบหนี หรือก่อเหตุ หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเจ้าของสถานที่ก็จะต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ
ส่วนรายคดีประเภทความมั่นคง และความผิดต่อร่างกาย จิตใจ และเพศ จะเข้าเกณฑ์ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ หรือไม่นั้น นายสหการณ์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้ต้องขังในคดี พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง หรือกฎหมาย JSOC จะไม่เข้าเงื่อนไขแน่นอน รวมทั้งคดีการก่อการร้าย คดีการจำหน่ายยาเสพติดในปริมาณมาก หรือผู้ค้ารายใหญ่ ทั้งนี้ คำว่าคดีความมั่นคงนั้นค่อนข้างกว้าง ส่วนผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ที่มีจำนวนมากในเรือนจำ จะได้รับการพิจารณาเข้าเกณฑ์หรือไม่ เราก็จะต้องนำมาพิจารณาทั้งหมด เพราะในการพิจารณาจะมีกรรมการตั้งแต่ชั้นเรือนจำ จนมาถึงกรรมการชั้นกรมราชทัณฑ์ ที่มีรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน และก็ต้องมีการเสนออธิบดีกรมราชทัณฑ์ พิจารณาอีกครั้ง
เมื่อถามถึงกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกดำเนินคดี ม.157 จะเป็นประเภทคดีที่ถูกละเว้นไม่เข้าเงื่อนไขระเบียบคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ นายสหการณ์กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าวยังไม่อยู่ในข้อยกเว้น แต่ประเด็นดังกล่าวจะถูกนำมาพิจารณาทั้งในชั้นกรรมการเรือนจำ และกรรมการระดับกรมราชทัณฑ์
เมื่อถามว่าหากดูข้อมูลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เหลืออัตราโทษจำคุก 5 ปี หากมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย แล้วอาจเหลือโทษน้อยลง หรือได้รับการลดโทษ จะเข้าเงื่อนไขโทษต่ำ 4 ปี สำหรับระเบียบคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ นายสหการณ์กล่าวว่า เงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้คือมีอัตราโทษไม่เกิน 4 ปี หรือมีคำพิพากษาจากศาลไม่เกิน 4 ปี ก็จะเข้าเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเข้ามาที่กรมราชทัณฑ์ เนื่องด้วยเจ้าตัวยังไม่ได้เข้ามาอยู่ที่เรือนจำ แต่หากเข้ามาที่เรือนจำเมื่อใดจึงจะยื่นขออภัยโทษได้