นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ เดือนตุลาคม 2567 มีมูลค่า 735.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.77% กลับมาติดลบ 2 เดือนติดต่อกัน และหากรวมทองคำ มีมูลค่า 2,966.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 88.14% ส่วนยอดรวม 10 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกไม่รวมทองคำ มีมูลค่า 7,788.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.35% หากรวมทองคำ มูลค่า 15,415.07ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 21.32%
สำหรับการส่งออกทองคำเดือนตุลาคม 2567 มูลค่าสูงถึง 2,231.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 169.31% เนื่องจากราคาทองคำในเดือนตุลาคม ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,777.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความกังวลในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคุกรุ่น ทำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการเก็งกำไรทองคำอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับกองทุนทองคำ SPDR ที่มีการซื้อทองคำต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ทำให้มีการส่งออกไปเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนยอดรวม 10 เดือน ส่งออกทองคำมีมูลค่า 7,626.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 43.53%
ส่วนตลาดส่งออกสำคัญ ส่วนใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้น โดยฮ่องกง เพิ่ม 7.51% สหรัฐฯ เพิ่ม 13.71% อินเดีย เพิ่ม 33.27% เยอรมนี เพิ่ม 13.29% อิตาลี เพิ่ม 3.59% เบลเยี่ยม เพิ่ม 25.55% ญี่ปุ่น เพิ่ม 3.78% ส่วนสหราชอาณาจักร ลด 6.87% สวิตเซอร์แลนด์ ลด 6.52% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลด 10.89%
สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วง 2 เดือนที่เหลือ คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ดี เพราะขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีการจ้างงาน และอัตราว่างงานลดลง อัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายลดลง ทำให้ลดภาระครัวเรือน ส่งผลให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและกล้าใช้จ่ายมากขึ้น และช่วงเดือนธันวาคม ยังเป็นช่วงคริสมาสต์และส่งท้ายปีเก่า เป็นช่วงที่มีการใช้จ่าย ซื้อสินค้ามากกว่าปกติ โดยอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นหนึ่งในสินค้าที่ซื้อเป็นของฝากของขวัญ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านของผู้นำสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง จากแนวนโยบายการใช้มาตรการทางภาษีและไม่ใช่ภาษี เพื่อกดดันประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในลำดับต้นๆ อย่างจีน แคนาดา เม็กซิโก และเวียดนาม ทั้งยังอาจขยายไปยังลำดับรองลงมา เช่น ไทย ที่ต้องเฝ้าระวัง ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังไม่คลี่คลาย ก็เป็นปัจจัยกระทบต่อการส่งออกในบางประเทศได้
ขณะเดียวกัน GIT มีข้อแนะนำให้ผู้ประกอบการหันมาผลิตเครื่องประดับอัจฉริยะหรือสมาร์ทจิวเวลรี เพราะทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราก้าวกระโดด โดยล่าสุดบริษัทที่เป็นแบรนด์เครื่องประดับและแบรนด์เทคโนโลยีขยายไลน์สินค้าเข้าสู่ตลาดนี้เพิ่มมากขึ้น เช่น ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Ring ที่สามารถตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ วิเคราะห์การนอนหลับ ซึ่งตัวแหวนผลิตจากไทเทเนียม หรือแบรนด์เครื่องประดับอื่นๆ ที่ผลิตเป็นสร้อยคอ หรือสร้อยข้อมือ ผสมผสานเข้ากับการตรวจจับสุขภาพหรือเพื่อความปลอดภัย ซึ่งแนวโน้มเครื่องประดับรูปแบบนี้ ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามแบบเครื่องประดับและเทคโนโลยีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป หรือเอเชีย ซึ่งเป็นโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการในการเจาะตลาดด้วยการ ผสมผสานความงามของเครื่องประดับและเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการใช้และสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว