หลังจากที่ บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE ได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ระบุ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ (หรือนอท สลากพลัส) ได้ทำการซื้อขายหุ้นของบริษัทผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,607,000,000 หุ้น คิดเป็น 57.81% ของทุนชำระแล้วของบริษัท ซึ่งส่งผลให้นายพันธ์ธวัช กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท พร้อมแต่งตั้งนายพันธ์ธวัช ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการใหม่ และอนุมัติการเปลี่ยนชื่อของบริษัทจากเดิม "บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน)" เป็น "บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด (มหาชน)" นั้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งวันนี้ (6 ธ.ค.) ว่า ตามที่ EE ได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนี้
1. มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ซึ่งเข้ามาถือหุ้น EE ในสัดส่วน 57.81% และมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 0.14 บาท
2. คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน 2,720 ล้านหุ้น (49.45% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน) ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท เป็นเงิน 517 ล้านบาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) 5 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทบต่อสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (Control Dilution) มากกว่า 25%
โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% แต่บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน
จากรายการข้างต้นส่งผลให้ EE มีการเปลี่ยนแปลงทั้งธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ โดยธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงที่แตกต่างจากธุรกิจปัจจุบันของบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจการเกษตร บริษัทคาดว่าจะลงทุนภายในปี 2568 และมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% จึงเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลกรอบเวลาที่จะศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจ Tech แล้วเสร็จ ผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2567
ทั้งนี้ EE ยังแจ้ง ตลท. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกัญชงและกัญชา แต่เนื่องจากธุรกิจนี้มีอัตราความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ และยังมีวงจรเงินสดที่ช้า จึงมีแนวทางในการขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยสามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอให้บริษัท และสร้างความแข็งแกร่งให้ฐานะการเงินของบริษัท อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทในอนาคต ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงิน
โดยบริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งรวมถึง (1) ธุรกิจสื่อ เทคโนโลยี (Technology Media) (2) ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) และ/หรือ (3) ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform) เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจ Tech เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการสร้างรายได้และความสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้คนใช้ชีวิตและใช้เวลากับอุปกรณ์สื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลก
โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายหรือภาคธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ต บริษัทจึงมีความสนใจในการเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทอย่างสม่ำเสมอ มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต (Potential Upside) จากธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,720,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,970,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 7,690,000,000 บาท โดยการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลใน วงจำกัด (Private Placement) จำนวน 2,720,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หรือคิดเป็น 49.12% ของทุนชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนชำระแล้ว ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 516,800,000 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด 5 ราย
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามรายการ Private Placement ไปใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจ Tech ประมาณ 467-517 ล้านบาท ภายในปี 2568 และใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทไม่เกิน 50 ล้านบาทภาย ในปี 2568