นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติเห็นชอบแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2568 โดยประกอบด้วยแผนก่อหนี้ใหม่ 1.2 ล้านล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 61,723 ล้านบาท เมื่อเทียบกับแผนปี 2567 ขณะที่แผนการบริหารหนี้เดิมประจำปีงบ 2568 อยู่ที่ 1.78 ล้านล้านบาท ลดลง 2.45 แสนล้านบาท และแผนการชำระหนี้ 4.89 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.49 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากแผนดังกล่าว ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ในปีงบประมาณ 2568 จะอยู่ที่ 66.8% ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ที่ไม่เกิน 70% ด้วย
สำหรับแผนการก่อหนี้ใหม่ เช่น การกู้เงินเพื่อชดเชนการขาดดุลงบประมาณปี 2568 จำนวน 865,700 ล้านบาท การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลประจำปีงบ 2567 และการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล เพิ่มเติมปีงบ 2567 ที่มีการขยายเวลากู้เงินออกไปภายหลังจากวันสิ้นปีงบ สำหรับการเบิกจ่ายกันเหลื่อมปี 145,000 ล้านบาท และแผนเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการหรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของรัฐวิสาหกิจ 10 แห่ง เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และรฟท. รวม 74,760 ล้านบาท
ส่วนแผนการบริหารหนี้เดิม เช่น การปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบ 2568 จำนวน 1.38 ล้านล้านบาท และการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบ 2569-2572 จำนวน 2.79 แสนล้านบาท เป็นต้น
ด้านแผนการชำระหนี้ เช่น แผนการชำระหนี้จากงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 4.10 แสนล้านบาท และแผนการชำระหนี้จากแหล่งเงินอื่นๆ 7.88 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การเคหะแห่งชาติ และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการต่ำกว่า 1 เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนประจำงบ 2568
โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่งดังกล่าว และหน่วยงารนที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการบริหารหนี้ไปดำเนินการด้วย รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบเงินกู้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2568 เร่งดำเนินการตามแผนดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ยังรับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปี (ปีงบ 2568-2572) และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐต่อไป