นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงวิสัยทัศน์ในนโยบายด้านการต่างประเทศ ในโอกาสพบสื่อมวลชน หลังเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยย้ำว่า นโยบายการต่างประเทศ จะยังคงมีความต่อเนื่อง และชัดเจน แต่มากกว่านั้น จะเป็นสิ่งที่ยิ่งจะจับต้องได้ โดยเฉพาะในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าของรัฐบาล จะเป็นการสานต่อและเติมเต็มสิ่งที่ทำอยู่เดิมจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และให้ความสำคัญกับ "การทูตเพื่อประชาชน" และ "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก"
โดยจะมีการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนต่างๆ ปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝุ่น PM 2.5 และอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทบต่อความอยู่ดีกินดี และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง จะต้องร่วมมือกันแก้ไข ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศมีบทบาทสำคัญ และหมดสมัยที่กระทรวงฯ จะทำงานจากส่วนกลางอย่างเดียวแล้ว โดยตนได้ลงพื้นที่เห็นสภาพปัญหา และรับฟังความคิดเห็นจาก สส. ทำให้ได้รับรู้ความต้องการจากชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจริง
ส่วนการบริหารจัดการแม่นำโขงนั้น นายมาริษ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้หารือในกรอบประเทศลุ่มน้ำโขง ทุกๆ กรอบ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งหารือในระดับทวิภาคีกับจีน สปป.ลาว และเมียนมา เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งโขงได้รับผลกระทบจากน้ำโขงที่เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนเสียหาย โดยจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์น้ำท่วม และจะประสานงานกันเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นอกจากนั้น จะมีการเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ เป็นการออกวีซ่าระยะยาว (Destination Thailand Visa) หรือ DTV ที่ได้ทำไปแล้ว และจะทำต่อไป เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติพำนักในประเทศไทย หรือทำงานในประเทศไทยได้นานขึ้นถึง 180 วัน และต่ออายุได้อีก 180 วัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ รวมถึงการเร่งเจรจากับ 5 ประเทศอาเซียน ทั้ง กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และมาเลเซีย เพื่อให้มีวีซ่าท่องเที่ยวร่วมกันกับไทย เมื่อนักท่องเที่ยวได้รับวีซ่าจากลาวแล้ว ก็สามารถมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยต่อได้ คล้าย Schengen Visa ของยุโรป ซึ่งจากการพูดคุยกับทั้ง 6 ประเทศ ต่างตอบรับ แต่ยังมีในรายละเอียดที่จะต้องพูดคุยเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีประเทศบรูไนที่จะคุยเพิ่มเติมหลังจากนี้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้น แล้วจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะพยายามผลักดัน
นายมาริษ ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศจะยกระดับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ให้จับต้องได้มากขึ้น และเชื่อมท้องถิ่นไทยสู่สากล โดยใช้กลไกสถานทูตไทยทั้ง 93 แห่ง เพื่อเกิดประตูสู่การเจรจาการค้าต่อไปในอนาคต พร้อมมั่นใจว่า Thai Festival ที่จัดเป็นประจำทุกปี และจะเป็นช่องทางกระจายสินค้าไทยได้อย่างดี โดยยืนยันกระทรวงการต่างประเทศจะผลักดันอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ นายมาริษ ยังย้ำบทบาทนโยบายการต่างประเทศของไทย ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของรัฐบาลอย่างชัดเจนว่า จะมุ่งทำงานร่วมกับนานาประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพหรือความมั่นคงที่ต้องมาพร้อมกับ ความมั่งคั่งร่วมกัน และไทยจะต้องมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น ทั้งการส่งเสริมให้เกิดสันติภาพในเมียนมา และสร้างรายได้เลยผลักดัน ให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น รวมทั้งการร่วมพัฒนาพื้นที่สองฝั่งไทย-มาเลเซียเพื่อให้คนทั้งสองฝั่ง มีกิน มีใช้ ร่วมสร้างความสงบสุขตามแนวชายแดน พร้อมยืนยันว่า การทูตไทยจากนี้ ต้องจับต้องได้ กินได้ และมั่นใจว่า คนไทย จะได้ประโยชน์ ทั้งเม็ดเงินที่จะหลั่งไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ความปลอดภัย และความมั่นคง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของความมั่งคั่ง โดยกระทรวงการต่างประเทศพร้อมที่จะสานต่อและเป็นกระทรวงด่านหน้าทำงานเชิงรุก เพื่อผลักดันนโยบายของรัฐบาล และทำงานร่วมกับทุกๆ ฝ่ายต่อไป
ทั้งนี้ ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมผลักดันการช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในอิสราเอลที่เหลืออยู่กลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งกระทรวงฯ ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และประสานกับทางการอิสราเอล และประเทศอื่น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่อง ทั้งกาตาร์ อียิปต์ หรืออิหร่าน ซึ่งเป็นนโยบายที่เราเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่เป็นศัตรูกับใคร ซึ่งตรงนี้ทำให้เราสามารถเจรจาได้กับทุกประเทศ จึงทำให้เราได้รับการช่วยเหลือตัวประกัน 23 คนเป็นประเทศแรก จะได้รับความช่วยเหลืออะไรก็ตาม และยืนยันกระทรวงการต่างประเทศซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่ทั่วโลก พร้อมดูแลคนไทยในต่างแดน รวมทั้งแรงงานไทย ซึ่งสามารถอยู่ในต่างประเทศ ได้อย่างมีศักดิ์ศรี