นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศไทย เมียนมา สปป.ลาว และเวียดนามว่า ตนได้หารือกับสถานทูต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ตั้งแต่อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อเร่งประสานงานกับฝ่ายเมียนมา เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ไทย และเมียนมาที่ต่างประสบภัยอยู่ในขณะนี้ รวมถึงเพื่อหารือถึงความร่วมมือกัน ในการขยายพื้นที่รับน้ำ เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในบริเวณตอนเหนือของประเทศไทย ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศเมียนมาก็หนักอยู่มาก เนื่องมาจากพายุ และน้ำหลากจากที่สูง ไหลลงสู่แม่น้ำสาละวินเช่นกัน
นายมาริษ กล่าวต่อว่า สถานทูตไทย กำลังเร่งประสานงาน เพื่อให้หน่วยงานด้านน้ำของทั้ง 2 ประเทศ หารือกันในรายละเอียดด้านเทคนิคว่า มีพื้นที่ใดที่จะสามารถขยายให้เป็นพื้นที่รองรับน้ำได้อีก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่อไป พร้อมยังระบุว่า สถานการณ์น้ำ เป็นวิกฤตของทุกประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง
นายมาริษ กล่าวเพิ่มว่า สถานการณ์อุทกภัยในเมืองท่าขี้เหล็กครั้งนี้ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 30 ปี ซึ่งแม้จะขุดลอกท่อ และเก็บกวาดขยะออกไปก่อนฤดูฝนแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ที่มีฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันตามบริเวณแม่น้ำสาย ซ้ำยังมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแม่น้ำสาย จากทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายเมียนมาในหลายพื้นที่ ทำให้ความกว้างของแม่น้ำสายแคบลง และเกิดการตื้นเขิน เป็นการซ้ำเติมปัญหาการระบายน้ำในแม่น้ำสายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในระยะยาว ตนได้เตรียมเสนอความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง MLC ต่อไปด้วย
นายมาริษ กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งในประเทศไทย เมียนมา สปป.ลาว และเวียดนาม พร้อมขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และขอให้สถานการณ์คลี่คลายสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
นายมาริษ กล่าวต่อว่า สถานทูตไทย กำลังเร่งประสานงาน เพื่อให้หน่วยงานด้านน้ำของทั้ง 2 ประเทศ หารือกันในรายละเอียดด้านเทคนิคว่า มีพื้นที่ใดที่จะสามารถขยายให้เป็นพื้นที่รองรับน้ำได้อีก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่อไป พร้อมยังระบุว่า สถานการณ์น้ำ เป็นวิกฤตของทุกประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง
นายมาริษ กล่าวเพิ่มว่า สถานการณ์อุทกภัยในเมืองท่าขี้เหล็กครั้งนี้ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 30 ปี ซึ่งแม้จะขุดลอกท่อ และเก็บกวาดขยะออกไปก่อนฤดูฝนแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ที่มีฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันตามบริเวณแม่น้ำสาย ซ้ำยังมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแม่น้ำสาย จากทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายเมียนมาในหลายพื้นที่ ทำให้ความกว้างของแม่น้ำสายแคบลง และเกิดการตื้นเขิน เป็นการซ้ำเติมปัญหาการระบายน้ำในแม่น้ำสายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในระยะยาว ตนได้เตรียมเสนอความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง MLC ต่อไปด้วย
นายมาริษ กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งในประเทศไทย เมียนมา สปป.ลาว และเวียดนาม พร้อมขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และขอให้สถานการณ์คลี่คลายสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด