xs
xsm
sm
md
lg

สทนช.เตือนน้ำโขงยังขึ้นสูงถึง 18 ก.ย. ย้ำเฝ้าระวัง 2 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 16 กันยายน 2567 ดังนี้

1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ จ.น่าน (80 มม.), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี (118 มม.), ภาคกลาง จ.สุพรรณบุรี (3 มม.), ภาคตะวันออก จ.ตราด (154 มม.), ภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี (53 มม.) และภาคใต้ จ.ระนอง (138 มม.)

– สภาพอากาศวันนี้ ร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

– คาดการณ์ช่วงวันที่ 18-21 กันยายน 2567 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนลดลง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

2. สทนช. ประกาศ ฉบับที่ 14/2567 แจ้งเตือนระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงวันที่ 12-18 กันยายน 2567 ดังนี้

– จ.เชียงราย บริเวณสถานีเชียงแสน อ.เชียงแสน ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 0.50-0.70 ม. ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 3.40 ม.

– จ.เลย บริเวณสถานีเชียงคาน อ.เชียงคาน ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.00-3.60 ม. และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 0.50-1.50 เมตร ในช่วงวันที่ 13-16 กันยายน 2567

– จ.หนองคาย บริเวณสถานีหนองคาย อ.เมืองหนองคาย และจ.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.50-3.90 ม. และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 1.50-2.50 ม. ในช่วงวันที่ 13-16 กันยายน 2567

– จ.นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.00-2.60 ม. ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 0.50-1.30 ม.

ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขง เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและท่วมขังบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำโขงและริมลำน้ำบางสาขา

3. สถานการณ์น้ำ สทนช. รุกต่อระดมหน่วยงานเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำพื้นที่ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นเอกภาพ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ป่าสัก สะแกกรัง และท่าจีน พร้อมทั้งเฝ้าติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของมวลน้ำที่ไหลลงมาสู่ภาคกลาง เพื่อประเมินสถานการณ์แก้ไขปัญหาให้ทันท่วงที รวมถึงการแจ้งเตือนประชาชนหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อลดปัญหาการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

ปัจจุบันสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลาง ในภาพรวมของอ่างเก็บน้ำยังคงมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีก และมีการเตรียมความพร้อมพื้นที่ทุ่งลุ่มต่ำ 11 ทุ่งเพื่อเตรียมไว้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำ ขณะนี้กรมชลประทานได้สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ประธานศูนย์บริหารจัดการน้ำ (ชั่วคราว) ภาคกลาง ได้กำชับให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมความพร้อมของเครื่องจักร เครื่องมือที่จะช่วยระบายน้ำในกรณีที่เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด

4. ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ

โดย ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 ปริมาณน้ำรวมทั้งประเทศ 53,337 ล้าน ลบ.ม. (66%) มากกว่าปี 66 จำนวน 5,660 ล้านลบ.ม. และมีปริมาณน้ำใช้การ 29,155 ล้าน ลบ.ม. (50%) แยกเป็นปริมาณน้ำรายภาค ดังนี้ ภาคเหนือ 17,452 ล้าน ลบ.ม. (63%) ภาคอีสาน 6,720 ล้าน ลบ.ม. (56%) ภาคกลาง 738 ล้าน ลบ.ม. (37%) ภาคตะวันออก 1,750 ล้าน ลบ.ม. (56%) ภาคตะวันตก 22,082 ล้าน ลบ.ม. (78%) และภาคใต้ 4,595 ล้าน ลบ.ม. (59%) ทั้งนี้ ต้องเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่น้ำมาก ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง (82%) และอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา (71%)

5. สถานการณ์อุทกภัย วันที่ 15 กันยายน 2567 ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน (อ.สบเมย และปางมะผ้า), จ.เชียงราย (อ.เมืองฯ เชียงของ แม่จัน แม่ฟ้าหลวง เชียงแสน และแม่สาย), จ.น่าน (อ.เวียงสา), จ.ตาก (อ.แม่สอด แม่ระมาด ท่าสองยาง และพบพระ), จ.สุโขทัย (อ.กงไกรลาศ), จ.พิษณุโลก (อ.เมืองฯ บางระกำ และพรหมพิราม), จ.เพชรบูรณ์ (อ.หนองไผ่ และชนแดน), จ.เลย (อ.ปากชม และเชียงคาน), จ.หนองคาย (อ.เมืองฯ สังคม ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ และรัตนวาปี), จ.อ่างทอง (อ.วิเศษชัยชาญ), จ.พระนครศรีอยุธยา (อ.เสนา บางบาล บางปะหัน ผักไห่ บางไทร พระนครศรีอยุธยา และบางปะอิน), จ.ปราจีนบุรี (อ.เมืองฯ และประจันตคาม) และจ.สตูล (อ.ควนกาหลง และมะนัง)