นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์โดยประเมินคลิปเสียงทั้ง 4 ชุดที่ถูกมือไม่ลับปล่อยออกมาทำลายศักดิ์ศรีหยามเหยียด พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เท่ากับเร่งกระชับให้เกมอำนาจต้องปิดฉากเร็วขึ้นหากถูกตอบโต้ด้วยคลิปนักโทษนอนป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจ และเสียงประชุมหารือตั้งรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อเย็น 14 ส.ค.ที่ผ่านมา
นายจตุพร กล่าวว่า ทุกเสียงในคลิปล้วนเป็นเหตุการณ์เกิดในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ทั้งสิ้น โดยมี 2 รูปแบบ คือดักฟังทางโทรศัพท์ หรือแอบบันทึกในวงสนทนา และใช้เทคโนโลยีติดเครื่องดักฟัง อย่างไรก็ตาม ความจริงรายละเอียดการพูดนั้น ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะ พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดตนายกฯ ย่อมต้องการเป็นนายกฯ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ต้องการเป็นนายกฯ หรือไม่ จึงไม่สำคัญ แต่ความเป็นมนุษย์ของ พล.อ.ประวิตร ต้องอยู่ด้วยศักดิ์ศรีในบั้นปลายชีวิต แต่กลับถูกดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งเท่ากับลบเหลี่ยม หยามศักดิ์ศรีกัน
“การพูดถึงอยากเป็นเบอร์ 1 จึงเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งในคำพูดนั้นยังสะท้อนถึงการเสียศักดิ์ศรีของ พล.อ.ประวิตร ที่เคยเป็น รมว.กลาโหม ผบ.ทบ. เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นอดีตพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ กลับถูกก้าวข้ามแบบไม่ไว้หน้า ดังนั้น เสียงในคลิปจึงแสดงถึงศักดิ์ศรีของคนพูดมากกว่าเนื้อหาที่ต้องการเป็น แต่สิ่งที่น่าคิดคือ ระดับนี้ (พล.อ.ประวิตร) ยังถูกดักฟังโทรศัพท์อีกเหรอ”
นายจตุพร ประเมินว่า การปล่อยคลิปเสียงออกมาเช่นนี้ แสดงถึงการเปิดศึกกันเบ็ดเสร็จทั้งสองฝ่าย และบางฝ่ายที่ปล่อยคลิปอาจเตือนถึงการยื่นคำร้องตรวจสอบ รมต.ให้น้อยลงบ้าง แต่จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญนั้น ยังอยู่ที่คลิปชั้น 14 รพ.ตำรวจ และคลิปแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าในช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยคลิปทั้งสองนี้จะนำพาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
นายจตุพร กล่าวว่า ใครหรือฝ่ายไหน มือที่สาม เท้าที่สี่เป็นคนปล่อยคลิปเสียงก็ตาม แต่คนระดับ พล.อ.ประวิตร ย่อมรู้อย่างดีว่า เป็นใคร หากไล่เรียงหน้าคนนั่งสนทนากันมีกี่คน คุยกันตรงไหน อย่างไร ย่อมรู้ใครเป็นคนแอบบันทึกเสียงแล้วปล่อยคลิปมาหยามทำลายศักดิ์ศรีซ้ำเติมความเป็นมนุษย์
"คลิปเสียงเป็นเพียงจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่จุดตายอยู่ที่เรื่องชั้น 14 และสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งดิ้นรอดยากมาก" นายจตุพร ย้ำทิศทางเชิงเกมอำนาจและจุดจบทางการเมือง
ส่วนการแถลงนโยบายของรัฐบาล นายจตุพร กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลคือ การทำบ่อนคาสิโนภายใต้ชื่อเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นที่สนใจของต่างประเทศหลายรายเพราะได้ประโยชน์กลับคืนอย่างมหาศาล
พร้อมย้ำว่า โดยการลงทุนทำบ่อนทั่วประเทศ 8 แห่งนั้น แต่ละแห่งเสียค่าใช้จ่ายแรกเข้าให้รัฐ 5,000 พันล้าน ส่วนเวลาดำเนินการ 30 ปีต้องจ่ายรัฐอีกปีละ 1,000 ล้าน ดังนั้น บ่อนหนึ่งแห่งลงทุนเพียง 3.5 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมทั้ง 8 แห่งรัฐจะได้ประโยชน์ 2.8 แสนล้านตลอดเวลาดำเนินการ 30 ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลประโยชน์แห่งรัฐได้รับเป็นรายปีแล้ว เท่ากับบ่อนหนึ่งแห่งรัฐได้รับประโยชน์เพียง 9.3 พันล้านเท่านั้น ถ้านำไปเทียบกับปี 2566 รัฐมีรายได้จากท่องเที่ยวอย่างเดียว (ไม่มีบ่อน) มากถึง 1.8 ล้านล้าน และจะมากกว่านี้อีกถ้าเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอาจมีรายได้มากถึง 3-4 ล้านล้านอีกด้วย
"แล้วรัฐจะมาหาประโยชน์เร่งด่วนอะไรกับรายได้จากบ่อนคาสิโนเพียงปีละ 9 พันกว่าล้าน เพื่อแลกกับความเสียหายจากอบายมุขที่มันจะเกิดขึ้นตามมา ดังนั้น การลงทุนทำบ่อนทั้ง 8 แห่งตลอดเวลา 30 ปีด้วยเงินเพียง 2.8 แสนล้านจึงเป็นที่น่าสนใจกับกำไรที่อาจมีมากถึง 100 เท่า หรือมากกว่านั้นย่อมคุ้มค่ามาก แต่รัฐกลับไม่คุ้มจากการเสียหายที่จะตามมา"
นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตุว่า ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2475 ที่มีรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญมานั้น ไม่มีรัฐบาลชุดไหนเลยเสนอนโยบายด้วยการทำบ่อนคาสิโนภายใต้ชื่อเอนเตอร์เทนเมนทคอมเพล็กซ์ แต่มันก็คือบ่อนคาสิโนซุกซ่อนไว้ 8 แห่งโดยให้ผลประโยชน์แก่รัฐเพียง 3.5 หมื่นล้านตลอดเวลาดำเนินการ 30 ปี
"เชื่อว่า ผลประโยชน์ได้จากบ่อนมีมากมาย แต่รัฐได้เพียง 3.5 หมื่นล้าน แล้วที่เหลือไปอยู่กับกลุ่มทุนใดจึงกล้าเร่งรัดให้เป็นนโยบายเร่งด่วนในการทำบ่อนคาสิโน ดังนั้น กรรมจึงเป็นเครื่องชี้เจตนาเฮงซวยด้วยการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชาติเร่งด่วนด้วยการทำบ่อนมาเป็นจุดขายของประเทศ ซึ่งเอาอะไรมาคิด ถ้าไม่คิดในเรื่องอื่นที่จะได้ประโยชน์ตามมา"
พร้อมทั้งกล่าวว่า การทำบ่อนเร่งด่วนแสดงถึงผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงนโยบายออกลายให้เห็นเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากรัฐจะได้รับความเสียหายจากนโยบายเร่งด่วนเช่นนี้แล้ว รัฐควรได้รับประโยชน์เข้าเป็นงบประมาณแผ่นดินอย่างคุ้มค่ามากที่สุด โดยต้องมากกว่าปีละ 9.3 พันล้านต่อหนึ่งแห่งเป็นหลายเท่าด้วยเมื่อต้องแลกกับการเอาบ่อนคาสิโนมาเป็นจุดขายให้เป็นประเทศอบายมุขเช่นนี้
นายจตุพร กล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า ถึงที่สุดต้องแจกเป็นเงินสด แต่การหาเสียงบอกแจกเป็นดิจิทัล เพราะประกาศแจกเป็นเงินสดไม่ได้จะเข้าข่ายซื้อเสียง ดังนั้นวิธีการอำพรางหลอกต้มเช่นนี้ จึงทำให้รัฐบาลเพื่อไทยหาทางออกยากที่สุด จนต้องหลอกและโกหกเป็นรายวันมานานถึงหนึ่งปี แล้วลงท้ายอ้างปัญหาสารพัดเพื่อแจกเป็นเงินสดอยู่ดี
นอกจากนี้ การเจรจาผลประโยชน์ในแหล่งพลังงานทับซ้อนในทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาคงไม่ยอมเจรจาเสียเปรียบให้ไทยฝ่ายเดียวแน่นอน ดังนั้น ไทยจะเจรจาอย่างไรที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่า ไม่เสียเปรียบและเป็นธรรมกับทั้งสองประเทศเท่าเทียมกัน
“ผลประโยชน์จากแหล่งพลังงานทับซ้อนนั้น ต้องเจรจาด้วยการสร้างความเป็นธรรมให้ทั้งสองประเทศ โดยไม่เน้นแต่ให้ความเป็นธรรมกับผลประโยชน์พลังงานแก่กลุ่มทุนต่างชาติ ที่มีผู้นำบางคนมอบสัมปทานบล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น คนไทยจะได้ผลประโยชน์อะไรจากแหล่งพลังงานทับซ้อนนี้ อีกอย่างโครงการแลนด์บริดจ์ ถ้าสร้างเพียงท่าเรือสองฝากฝั่งทะเลและทางด่วนขนส่งสินค้า โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับที่ดิน 3 แสนไร่นาน 99 ปี อาจไม่เกิดปัญหาตามมา” นายจตุพร ย้ำเตือน
นายจตุพร เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบพรรคการเมืองที่หาเสียงไม่ตรงกับการปฏิบัติเมื่อเป็นรัฐบาล หรือหาเสียงไม่ตรงปกจนทำให้ประชาชนหลงเชื่อย่อมเข้าข่ายหลอกลวงให้ลงคะแนน อีกทั้งการหาเสียงค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเป็นสิ่งที่ดี แต่การปฏิบัติไม่ควรเป็นการซื้อสัมปทานกลับคืนแล้วให้กลุ่มทุนบริหารต่ออีก เพราะทำเช่นนั้นเป็นการการันตีช่อนกำไรซ้ำซ้อนเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนไปอีก จึงอาจเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงนโยบายอย่างน่ากังขา
"ถ้าการตรวจสอบชั้น 14 จบเร็ว เรื่องคุณสมบัติต้องห้ามเป็นนายกฯ ของอุ๊งอิ๊ง (แพทองธาร ชินวัตร) จบเร็ว สิ่งเหล่านี้โครงการเร่งด่วนหาประโยชน์ส่วนตนก็ไม่เกิด ดังนั้น บรรดานักร้องให้ร้องไป ปล่อยให้ปวดหัวเล่น แต่ไม่ใช่ว่า ร้องเรื่องไหนแล้วจะผิดหมด หรือจะรอดทุกเรื่อง อาจมีสักเรื่องเล่นงานเอาผิดได้ ย่อมมีค่าเท่ากัน และหลุดจากตำแหน่งอยู่ดี"
ส่วนกรณีน้ำท่วมรุ่นแรงที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือนั้น นายจตุพร กล่าวว่า แม้นายกฯ ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ แต่มีกลไกราชการให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยสามารถสั่งการแบบบูรณาการขอความร่วมมือกันให้ไปช่วยเหลือ ดูแลประชาชนที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนักได้ เพียงแต่อย่ากลัวถูกร้องเรียนจนเกินเหตุ เพียงแต่ให้มีความเอาใจใส่ มีจิตใจรับใช้ความเดือดร้อนของประชาชนตามสำนึกของนักการเมืองที่มีหน้าที่บริหารประเทศย่อมเพียงพอ
นายจตุพร กล่าวถึงการเคลื่อนไหวฝ่ายประชาชนว่า ต้องรวมตัวกันให้มีความเข้มแข็ง อดทนเคลื่อนไหว อย่าหวั่นไหวเสียงวิจารณ์จุดไม่ติด เพราะทุกการเคลื่อนไหวประชาชนย่อมใช้เวลาเป็นปีทั้งนั้น ไม่ว่าขบวนการเสื้อแดง เหลือง กปปส. หรือการเคลื่อนไหวใหญ่อย่าง 14 ตุลา 16 กับพฤษภา 35 สิ่งสำคัญเมื่ออารมรณ์ประชาชนจุดติดแล้ว จะมีประสิทธิภาพขับไล่สูงในช่วงเวลาไม่กี่นาที
#ประเทศไทยต้องมาก่อน