นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสำนักการระบายน้ำ ลงพื้นที่ตรวจแนวเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ ถึงท่าเรือเทเวศร์ เขตพระนคร
นายชัชชาติ กล่าวในการลงพื้นที่ว่า บริเวณวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ เป็นรอยต่อกับ จ.นนทบุรี โดยวันนี้เป็นการตรวจแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาเตรียมรับมวลน้ำเหนือก้อนแรก ซึ่งวานนี้ (2 ก.ย. 67) ระดับน้ำเพิ่มขึ้น 25 ซม. ทำให้น้ำสูงสุดขึ้นมาเป็น 1.75 ม.รทก. ขึ้นจากวันที่ 1 ก.ย. คือ 1.50 ม.รทก. แต่แนวคันสูง 3.5 เมตร ยังสูงพอรับน้ำได้อีกมากแต่ยังประมาทไม่ได้
จากนั้น นายชัชชาติและคณะ ลงเรือสำรวจความพร้อมของแนวคันกั้นน้ำตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าเรือวัดสร้อยทองไปยังท่าเรือเทเวศร์ สังเกตได้ว่าระดับน้ำยังอยู่ต่ำกว่าคันกั้นน้ำพอสมควร สำหรับจุดที่เป็นฟันหลอก็ได้นำกระสอบทรายเสริมแล้ว ทั้งนี้ ระดับแนวคันกั้นน้ำด้านเหนือของกรุงเทพฯ จะสูงกว่าด้านใต้ เพราะเหนือนั้นได้รับอิทธิพลจากน้ำเหนือมากกว่า ดังนั้น คันเขื่อนจะสูงประมาณ 3.5 ม.และไล่ระดับลงไป เช่นที่บางนาเขื่อนสูง 2.8 จากนั้น ขึ้นบกที่ท่าเรือเทศร์ โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ เน้นย้ำให้เตรียมความพร้อมตรงจุดที่เป็นฟันหลอซึ่งใช้เป็นช่องทางสัญจรผ่านด้วย โดยบริเวณท่าเรือเทเวศร์นั้นมีโอกาสท่วมสูงเพราะอยู่นอกคันกั้นน้ำ ซึ่งกรุงเทพฯ มีชุมชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ 17 ชุมชน หากน้ำมาย่อมต้องรับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แนวเขื่อนต้องลงไปดูทุกจุดไม่ให้มีฟันหลอ จุดนิดเดียวหากน้ำเข้าได้ก็จะมีปัญหา ไม่ต้องกังวลแต่ห้ามประมาทเพราะน้ำยังไม่เยอะมากยังห่างกับปี 54 สิ่งที่กังวลคือน้ำฝนมากกว่า เพราะช่วงนี้ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่าน กทม. จึงได้สั่งการให้เร่งพร่องน้ำในคลองพร้อมเตรียมรับมือไม่ต่างกับน้ำเหนือ” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวทิ้งท้าย