นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า หลังจากนายกฯ คุณหนูอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นำ ครม.นำถวายสัตย์ปฏิญาณตัวแล้ว จะถูกยื่นคำร้องชุดใหญ่ทั้งเอกสาร หลักฐานกล่าวหาจริยธรรมไม่ซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะซีเรียสปัญหาตัวเองมากกว่าไม่ซีเรื่องของ รมต.และทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ
อีกทั้งเชื่อว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แฉการเข้าพบนักโทษป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจ เริ่มขยายผลมากขึ้น ซึ่งคงไม่เป็นเรื่องทำกันเล่นๆ แล้วกลับลำ เพราะเป็นการทำลายตัวเองให้เกิดความเสียหายตอนแก่
สิ่งสำคัญ ความเก๋าเกมของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พบนักโทษทักษิณ รอบแรกไปกันสองคน โดยหวังให้คนหนึ่งเป็นพยาน ดังนั้น การเปิดเผยอาการป่วยของนักโทษย่อมทำให้หมอ รพ.ตำรวจ หนาวๆ สั่นๆ กับโรคความกลัวขึ้นฉับพลัน
นายจตุพร กล่าวว่า แม้หมอเป็นคนกล้า ไม่หวั่นไหวกับการผ่าตัดรักษาทุกโรค แต่สิ่งที่กลัวคือคุก เพราะเหตุรักษาสันดานนักโทษใช้แล้วทิ้งไม่ได้ โดยมีอดีตข้าราชการระดับสูง นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวตามสั่ง ล้วนถูกทิ้งเป็นขยะในคุกทั้งนั้น ส่วนตัวเองไม่ยอมติดคุกสักวัน ฉะนั้นข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และหมอ รพ.ตำรวจ ย่อมวิตกกังวลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปพบทักษิณ แต่กรมราชทัณฑ์ไม่รู้ จึงเป็นปัญหาว่า ควบคุมนักโทษอย่างไรให้คนไม่มีชื่ออนุญาตเยี่ยมหลุดรอดเจ้าหน้าที่เฝ้าหน้าห้องและมีภารกิจถ่ายรูปทุก 2 ชั่วโมงบันทึกเป็นหลักฐานทั้งยามหลับและตื่น จนมีข่าวว่า ได้เข้าไปนั่งกินข้าวเหนียวมะมวง ชมวิวสนามม้ากันได้ จึงสงสัย มีเจ้าหน้าที่เฝ้านักโทษจริงหรือไม่?
รวมทั้งกล่าวว่า นอกจากสงสัยว่าป่วยจริงหรือไม่แล้ว ต้องพิสูจน์อีกว่า นักโทษนอนป่วยที่ รพ.ตำรวจ ทุกวันนาน 181 วันจริงหรือไม่ด้วย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ถึงเรื่องนี้นายกฯ คุณหนูอุ๊งอิ๊งจะไม่ซีก็ตาม แต่ของจริงมันซีเรียส (เครียด) เมื่อถูกยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบทั้งคำให้การและรูปถ่าย 2,160 รูปที่ขอจากกรมราชทัณฑ์และกล้องวงจรปิดจาก รพ.ตำรวจ ไปนานแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับ
"ถ้ากรมราชทัณฑ์และ รพ.ตำรวจ ไม่ส่งภาพให้ตามที่ ป.ป.ช.ขอ ก็ต้องถูกดำเนินคดี แล้วนักโทษทักษิณต้องรับผลไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ และไม่ได้ติดคุกจริงสักวัน ไม่เข้าข่ายคุณสมบัติได้อภัยโทษ จึงมีทางเลือกกลับไปที่โทษ 1 ปี หรือ 8 ปี ซึ่งต้องวัดใจกัน ดังนั้น เป้าใหญ่การยื่นขอหลักฐานตรวจสอบชั้น 14 รพ.ตำรวจ จึงอยู่ที่นักโทษทักษิณ ถ้าไม่มีทักษิณแล้ว รัฐบาลอุ๊งอิ๊งก็ไม่มีสภาพอะไรเลย"
พร้อมทั้งระบุว่า การยื่นสอบนายกฯ คุณหนูอุ๊งอิ๊ง คงทยอยตั้งแต่เรื่องข้อสอบรั่ว สนามกอล์ฟอัลไพน์บนที่ธรณีสงฆ์ ขายหมู่บ้านผ่านนอมินีให้ทุนจีนเทา เรื่องบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นต่างประเทศ โดยหลากหลายเรื่องราวนี้ คงมีสักเรื่องสามารถเล่นงานได้อยู่แล้ว
นายจตุพร กล่าวย้ำว่า เขาเป็นเพียงผู้ติดตามข่าวสาร แล้วนำมาบอกกล่าวสังคม พร้อมเตือนผู้จัดการดีลมีหน้าที่จัดการปัญหาต้องรีบทำงาน อย่าให้ประชาชนเดือดร้อนการชุมนุมอีก เพราะในยามยากลำบากเช่นนี้ ประชาชนยิ่งจะเร่งให้สถานการณ์จบลงรวดเร็ว
“ได้ยินมาว่า ผู้มีหน้าที่ล็อกเป้าเวลาอำนาจของทักษิณ จะจบลงใน พ.ย.นี้ ส่วนนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ไม่เกินตรุษจีน 68 เพื่อหยุดความเสียหายของประเทศไม่ให้ลุกลามไปมากกว่าขณะนี้”
อีกทั้งระบุว่า ปัจจุบันความขัดแย้งแตกแยกก่อตัวขึ้นใหม่เต็มบ้านเมือง ยิ่งพรรคการเมืองแตกกันยับเยิน ทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ไทยสร้างไทย ที่สำคัญองค์กรภาคประชาชนมีปัญหาไปคนละทิศทางกันหมดไม่ว่า นปช. พันธมิตร กปปส. คปค. แต่หวังว่า การเคลื่อนไหวเพื่อชาติ ไม่มีฝ่าย จะไม่เป็นมวยล้มกัน
ส่วนการตั้ง ครม. โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย สหายใหญ่ แห่งกองทัพปลดแอกฯ คาดจะได้เป็น รมว.กลาโหม นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์ในอดีตเริ่มตั้งท่าหลอกหลอนกองทัพไทยที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่วันเสียงปืนแตก 7 ส.ค. 2508 แล้วล้มตายมากมายทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ทุกปีกองทัพไทยมีพิธีพระราชทานเพลิงศพทหาร ตำรวจ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ขณะที่ในแต่ละภูดอยฐานที่มั่นมีความตายของนักรบประชาชนจำนวนมาก ยังมีอนุสรณ์รำลึกประวัติการต่อสู้แต่ละยุทธการ สมรภูมิ และทำบุญกุศลให้กันทุกปีไม่ต่างกัน
“หลังจากคอมมิวนิตส์กลับเข้าร่วมพัฒนากับรัฐบาล ไม่เคยมีทหารกองทัพปลดแอกคนใดใส่หมวกเขียวโชว์ดาวแดงเด่นได้แต่งตั้งเป็น รมว.กลาโหม และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อมาสะกิดบาดแผลเดิมขึ้นมาอีกเลย”
นายจตุพร กล่าวว่า คิดกันง่ายๆ เหมือนทหารกองทัพปลดแอก ใส่หมวกเขียวดาวแดงเข้าไปสั่งการผู้บัญชาการเหล่าทัพ บก เรือ อากาศ ตำรวจและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งอาจไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์ในอดีต ดังนั้น คนที่ไม่อยากมีเรื่อง ไม่ควรแต่งตั้งอดีตทหารป่าดอยไปคุมกองทัพ เพราะมันเป็นอารมณ์ความรู้สึกละเอียดอ่อนและจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาอีก ดังนั้น อย่าถามว่า เกิดยุคไหนสมัยใด มันคนละเรื่องกัน
"ถ้าทหารกองทัพไทย ทหารผ่านศึกไม่มีความรู้สึกก็ช่างนะ ที่เตือนเพราะอารมณ์ความรู้สึกเริ่มก่อตัวอย่างช้าๆ คือ หาเรื่องให้เขาปฏิวัติ นี้ก็จะเป็นชนวนหนึ่ง ส่วนยังมีอุดมการณ์ทหารป่า ยึดมั่นลัทธิพรรคคอมมิวนิตส์ไม่มีใครเชื่อหรอก จากลัทธิเหมามาสู่ลัทธิแม้วก็ฟังไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ แต่การแต่งตั้งสหายเก่านั่ง รมว.กลาโหมเป็นการสะกิดแผล (แล้วทาเกลือ)"
รวมทั้งย้ำว่า เมื่ออยากตั้งก็ตั้งกันไปเป็นชนวนอย่างหนึ่งเลย แม้นายภูมิธรรม จะไปทำอะไรกองทัพไม่ได้ แต่เหมือนไปแหย่รังแตนความรู้สึกไม่พอใจของทหารให้แตกฮือ แล้วเรื่องไม่ควรมีเรื่อง จะเป็นเรื่องขึ้นมาได้
ส่วนการตั้ง 11 รมต. มีชนักติดหลังนั้น นายจตุพร กล่าวว่า แม้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง บอกไม่ซี (ซีเรียส) แต่ควรห่วงตัวเอง ควรซีกับเรื่องตัวเอง ซีในเรื่องอื่นไม่เท่าไรหรอก เพราะความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์กับมาตรฐานทางจริยธรรม ไม่เกี่ยวกับคดีอาญาและแพ่ง มีกรณีของช่อ-พรรณิการ์ วานิช กับ เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์ เป็นตัวอย่างถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตชัดเจน ทั้งที่ไม่เคยถูกคดีอาญาและแพ่งมาก่อนเลย
นอกจากนี้ คำตัดสินของ ศาล รธน.ในคดีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ยังห้ามกระทั่งจริยธรรมการคบคน ดังนั้น จึงไม่ได้ง่ายเลยเหมือนการอธิบายตามหลักกฎหมายย่อมทำได้ แต่ปัญหาจริยธรรมไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาและแพ่ง ดังนั้น นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ควรซีเรียสเรื่องของตัวเองให้มากด้วย
ประเทศไทยต้องมาก่อน