xs
xsm
sm
md
lg

"ศิริโชค"จำใจเดินจากทั้งน้ำตาบอกลา ปชป.หวังกลับมายิ่งใหญ่พร้อมอุดมการณ์ที่มั่นคง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายศิริโชค โสภา อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2567 พร้อมข้อความระบุว่า

"เรียน พี่น้องประชาชน และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคารพ

กระผมเริ่มชีวิตการเป็นนักการเมือง โดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 และได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่องอีก 4 สมัย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายค้านเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และได้มีส่วนร่วมกับทีมประชาธิปัตย์ทุกครั้งที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ผมยังจำบรรยากาศในสมัยแรก ที่ผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง กรณีบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่งถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร จนได้รับการเลือกจากสื่อมวลชนให้เป็นดาวสภาฯ และผลจากการอภิปรายฯ ในครั้งนั้น ทำให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่าสองหมื่นล้านบาท

คณะบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ที่ผมต้องขอบคุณมา ณ ที่นี่ ก็คือ พี่น้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ทุกท่านที่ช่วยกันต่อสู้ในสภาฯ อย่างเต็มที่

และที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษคือ นายชวน หลีกภัย และนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คอยสนับสนุน และให้คำปรึกษาผมมาตลอด และที่ขาดไม่ได้คือ พี่ถาวร เสนเนียม ที่คอยช่วยกันดูแลพยานปากสำคัญของผม ที่แม้ตอนหลังพยานผมจะเสียชีวิตก็ตาม


ผมไม่เคยที่จะลืมบุญคุณบุคคลคนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดสงขลา ที่ให้โอกาสผมในการทำงานเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี

ผมไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมาถึง เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดเสมอว่า ที่นี่คือบ้านเดียวและบ้านหลังสุดท้ายของผม แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันมีอุดมการณ์ที่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเป็นอย่างมาก ผมจึงมีความจำใจต้องเดินจากไป แม้จะมีความอาลัยอาวรณ์ต่อพรรคมากก็ตาม เพราะผมเชื่อเสมอว่า นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา หากปราศจากทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นได้แค่นักเลือกตั้ง
คืนนี้ทั้งคืน เป็นคืนที่ผมนอนไม่หลับ เพราะเช้านี้แล้วที่ผมจำต้องยื่นหนังสือลาออกจากพรรคฯ ที่ผมรักและเทิดทูนที่สุด ทั้งน้ำตา

แต่ผมก็ยังหวัง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยๆ ว่า สักวัน พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง พร้อมกับอุดมการณ์ที่มั่นคง และเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนได้ แล้วผมจะเฝ้ารอดูครับ"