นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับและประชุมหารือกับ H.E. Koy Sodany ปลัดกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งกัมพูชา พร้อมคณะข้าราชการระดับสูงของกัมพูชา และผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ประจำประเทศกัมพูชา ในการศึกษาดูงานในประเทศไทย (Study Visit) ภายใต้หัวข้อ “Facilitation of International Railway Development” เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการขนส่งทางรถไฟข้ามพรมแดนไทย - กัมพูชา โดยมีผู้บริหารการรถไฟฯ ร่วมให้การต้อนรับและประชุมหารือ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ณ ห้องปฏิบัติการ การรถไฟแห่งประเทศไทย
นายอวิรุทธ์ กล่าวว่า ในโอกาสที่ปลัดกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งกัมพูชา และคณะเดินทางมาในครั้งนี้ เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการดำเนินโครงการขนส่งสินค้าและโดยสารเชื่อมต่อระหว่างไทยและกัมพูชาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อผลักดันการเชื่อมโยงการขนส่งทางรถไฟ และแนวทางการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางรางผ่านชายแดนไทย - กัมพูชา ให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น โดยทั้งสองประเทศได้มีการลงนามความตกลงการเดินรถไฟร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 และเมื่อวันที่ 24 - 29 กรกฎาคม 2566 ได้มีการทดลองขนส่งสินค้าทางรถไฟจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไปยังกรุงพนมเปญ โดยขนส่งพลาสติกและน้ำมันเครื่อง จำนวน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้จะช่วยให้การขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา ความสำเร็จครั้งสำคัญของความร่วมมือทางรถไฟไทย - กัมพูชา คือ การก่อสร้างสะพานรถไฟมิตรภาพไทย - กัมพูชา ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2562 เชื่อมระหว่างอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วในประเทศไทย กับเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียนเมียนเจยในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันประเทศไทยและกัมพูชามีการเชื่อมต่อที่สถานีด่านพรมแดนบ้านคลองลึก-ปอยเปต โดยฝ่ายกัมพูชามีแผนการก่อสร้างสถานีระหว่างประเทศ (International Station) ที่สตึงบท ส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีแผนสร้างรถไฟทางคู่ช่วงคลองสิบเก้า-อรัญประเทศ ระยะทาง 174 กิโลเมตร
สำหรับการหารือในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสนับสนุนให้มีการตั้งคณะทำงานความร่วมมือในด้านระบบราง ระหว่างไทย - กัมพูชา เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบราง ซึ่งจะช่วยส่งเสริม และอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางและการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศต่อไป