นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้เร่งส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาให้พิจารณาวินิจฉัยว่าผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม จะเป็นเหตุให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 (1) หรือไม่ โดยได้แนบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฟื้นหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (5)
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) แล้ว รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทางคณะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป
นายเรืองไกร กล่าวว่า ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน ป.ป.ช. ด้วย จึงมีความจำเป็นต้องขอให้ ป.ป.ช. คัดสำเนาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญพร้อมทั้งเอกสาร เพื่อใช้เป็นสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. เพื่อเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไป
ทั้งนี้ การยื่นร้องกรณีของนายเศรษฐา ไปที่ ป.ป.ช. เนื่องจากเห็นว่าหากในเวลาต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยตามศาลรัฐธรรมนูญก็จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดไปด้วยและตามแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้มีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมที่อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไป
นายเรืองไกรเปิดเผยด้วยว่า วันนี้ เวลา 13.00 น. ตนจะเข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต. ในคำร้องที่ยื่นให้ กกต. ตรวจสอบรัฐมนตรี 2 ราย ถือหุ้นเกินร้อยละ 5 หรือไม่ ซึ่งหากถูกวินิจฉัยตามที่กล่าวหา จะต้องเว้นวรรคสองปีตามมาตรา 160 (8) แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจากผลทั้งคณะแต่กรณีนี้จะตกไปไม่ได้