เพจพระราชวัชรสารบัณฑิต - เจ้าคุณประสาร โพสต์ระบุว่า ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ปิดกิจการและขอยุติบทบาททั้งหมด
ตามที่ประธานกรรมการบริหารศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศเรื่อง, แจ้งปิดทำการสำนักงานและยุติกิจการทั้งหมด รวมทั้งการสิ้น สภาพการเป็นสมาชิกของบุคลากร กรรมการและเจ้าหน้าที่ทุกท่าน โดยจะมีผลอย่าง เป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ตามที่ทราบแล้วนั้น ในฐานะ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ก่อกำเนิดเมื่อ 23 ปีก่อน (พ.ศ. 2544) เหตุผลในเวลานั้นก็เนื่องมาจาก การยกร่างรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ.2540 ซึ่งในปี นั้น รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อ ยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เวลานั้นนักคิด นักปราชญ์ พระนักวิชาการ พระนิสิต พระ นักศึกษา พระภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อย นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม ตลอดจนชาวพุทธ ส่วนหนึ่งได้ก่อตัวขึ้น เพื่อเคลื่อนไหวให้ สสร.บรรจุหลักสำคัญที่เป็นความประสงค์ของ ชาวพุทธ (แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม)โดยขอให้บรรจุคำว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา ประจำชาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540
ผู้แทนชาวพุทธได้นำรายชื่อผู้เห็นด้วยกว่า สองแสนรายชื่อเข้าไปยื่นที่รัฐสภา ถนนอู่ทองใน ประธานยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ได้พูดกับผู้แทนชาวพุทธ ทั้งที่เป็น พระสงฆ์ สามเณรและฆราวาสที่เข้าไปยื่นเรื่องว่า รายชื่อเยอะมาก ดูไม่ไหวหรอก ทำ ให้ในเวลาต่อมา ความพยายามของชาวพุทธส่วนหนึ่งก็ดูว่าไร้ผล ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มี ความหมายใดๆ สำหรับ “เสียงชาวพุทธ” จำนวนมากมายมหาศาลนั้น
ต่อมาคณะพุทธบริษัทดังกล่าวนี้ ก็ยังไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์ กอรปกับ พระพุทธศาสนา คณะสงฆ์ได้รับผลกระทบ ถูกกระทำต่างๆนานา ในต่างกรรม ต่าง วาระ หรืออาจจะพูดได้ว่า ในหลายเรื่อง หลายโอกาส ได้ถูกกระทำ ย่ำยี
อย่างไม่เคารพยำเกรง จนมีการนำวลีประวัติศาสตร์ของชาวพุทธมาย้อนในเชิงห้าม ปรามและตัดพ้อว่า “ไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ” จากนั้นมา (พ.ศ. 2540) คณะบุคคลดังกล่าว ก็ได้ก่อตัวขึ้นในนาม ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศ ไทย มีสำนักงานตั้งอยู่ที่วัดราชาธิวาสวิหาร (คณะใต้) เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และ ภายหลังกำเนิดศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย การทำงาน การทุ่มเท เสียสละและการต่อสู้ภายใต้สโลแกน “พิทักษ์ ปกป้องและคุ้มครอง พระพุทธศาสนา” ก็เข้มข้นขึ้นตามลำดับ มีพระเถระ พระสงฆ์ คฤหัสถ์ ที่เป็นดาวเด่น ดาวดัง เกิดขึ้นประดับวงการพุทธมากมาย
ก็มีให้
การเดินหน้าให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีระบบ แบบแผน ยิ่งขึ้น ในทุกรัฐธรรมนูญ การออกมาชี้แจง ตอบโต้ ชี้ผิด ชี้ถูก การทำความเข้าใจกับ สังคมมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่ง การออกมารวมตัวกันของพระสงฆ์จำนวนมาก ในหลายที่ หลายแห่ง หลายกรณี ตามที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ม็อบพระ เห็นบ่อยครั้ง ในยุคสมัยที่ศูนย์พิทักษ์ฯแห่งนี้เฟื่องฟู แน่นอนการดำเนินการทั้งหลาย ทั้งปวงที่กล่าวมานี้นั้นย่อมมีทั้งคุณและโทษ มีทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ มีคนรัก มีคน เกลียด มีคนชม มีคนสาปแช่งชิงชัง
ถึงอย่างไรก็ตาม สมาชิกศูนย์ฯ ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นในอุดมการณ์ ในฐานะพุทธ บริษัทในอันที่จะมีหน้าที่พิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างไม่คลอน แคลน ทุกท่านยอมเสียสละ แม้จะต้องเผชิญกับอะไรในหลายๆอย่างก็ตาม ในวันที่ถูก ด่า ทุกประจานทุกคนไม่ท้อ ไม่ถอย แต่ยังกล้าสบตากับทุกคน ในวันที่ไม่อยากมีใคร เข้าใกล้ ในวันที่คนอื่นกลัวจะโดนไปด้วย แต่เราชาวศูนย์ฯ ต่างก็อดทน อดกลั้น บำเพ็ญขันติบารมีและรู้จักกลืนเลือดให้เป็น โดยไม่เคยปริปากบ่น ไม่ไปวิ่ง ไม่ไปขอความเห็นใจ
กาลเวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง วันนี้สมาชิกศูนย์ฯในวัยที่แตกต่างกัน ทั้ง พระสงฆ์และคฤหัสถ์ ได้มานั่งคุยเพื่อถอดบทเรียน ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางสังคมที่แปรเปลี่ยน ประธานเสนอให้เลขาธิการขึ้นไปนั่งเป็นประธานกรรมการ บริการศูนย์ฯ ในฐานะเลขาธิการก็ได้แต่ผ่อนไปผ่อนมา และในที่สุดก็มีผลสรุปร่วมกันว่า
1.ศูนย์ฯได้ทําหน้าที่ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์มานานกว่า 23 ปีแล้ว
2.ผลงานที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในภารกิจที่ร่วมกันทำมาอย่าง
ยาวนานและบัดนี้ก็มีหลายหน่วยงานได้รับไม้ต่อยอดไปในเรื่องนั้นๆ แล้วพอสมควร แม้
จะไม่ทั้งหมดก็ตาม
3.สมาชิกหลายท่าน หลายคนก็อายุมากขึ้นหลายท่านอยู่ในวัยผู้สูงอายุและบางท่าน
ก็ล้มหายตายจากกันไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราชาวศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จึงขอแจ้ง ทุกท่านว่า ถึงเวลาแล้วที่จะขอปิดม่านประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในนามศูนย์ฯอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม
2567 เป็นต้นไป
ในส่วนสมาชิกหลายท่าน หลายคนจะไปรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งองค์กรใดองค์กร
หนึ่งขึ้นมาตามอุดมการณ์และแนวทางของตนเพื่อพระพุทธศาสนานั้นก็ขอให้เป็นเรื่อง
คำตอบที่จะมีในอนาคตก็แล้วกัน
พระราชวัชรสารบัณฑิต
(เจ้าคุณประสาร)
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
11 สิงหาคม 2567