นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานแถลงข่าว "ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการเพื่อประชาชน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ววันนี้" โดยช่วงแรกเป็นการกล่าวถึงที่มาเหตุผลที่รัฐบาลกลั่นกรองเพื่อดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
จากนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ ยืนยัน ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีเงินเพียงพอสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน 450,000 ล้านบาท ส่วนผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยมีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ก่อนวันที่ 16 กันยายน 2561 เป็นผู้ที่มีเงินได้ไม่เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท โดยเงินฝากเป็นรูปแบบสกุลเงินบาทเท่านั้น และกำหนดวันตรวจสอบสิทธิ์ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการต้องโทษจำคุกในเรือนจำ ไม่เป็นผู้ถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการโครงการอื่นๆ ของรัฐ และไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขมาตรการโครงการอื่นๆ ของรัฐ
สำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน และกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน
โดยกลุ่มที่มีสมาร์ทโฟนสำหรับประชาชนทั่วไปลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน 2567 ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ไม่มีการจำกัดจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมใช้สิทธิ หากมีคุณสมบัติครบถ้วนก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการไว้ 45-50 ล้านคน
ส่วนกลุ่มประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะมีการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านช่องทางที่กำหนดในวันที่ 16 กันยายน ถึง 15 ตุลาคม 2567 ซึ่งจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติสถานะบุคคลและที่อยู่ตามบัตรประชาชนเช่นเดียวกับกลุ่มสมาร์ทโฟน และในส่วนของการใช้จ่ายในโครงการจะใช้ผ่านบัตรประชาชน มีข้อจำกัดเรื่องร้านค้ามากกว่ากลุ่มที่ลงทะเบียนโครงการผ่านระบบสมาร์ทโฟน
ซึ่งเงื่อนไขในการซื้อ ระหว่างประชาชนกับร้านค้า สามารถใช้ได้ในร้านค้าขนาดเล็ก ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก ไม่รวมห้างสรรพสินค้า และซื้อขายแบบเฟซทูเฟซ ส่วนการซื้อขาย ระหว่างร้านค้าต่อร้านค้า ซื้อขายแบบต่างพื้นที่ได้
ทั้งนี้ การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าจะเกิดขึ้นกับร้านขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ซึ่งในการซื้อสินค้าหากประชาชนมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านในอำเภอใดก็ต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันเท่านั้น และต้องเป็นการซื้อขายแบบพบหน้า หรือ face to face โดยจะมีการตรวจสอบที่อยู่ของร้านค้าตามที่การลงลงทะเบียนพิกัดที่อยู่ของประชาชนขณะซื้อสินค้าจึงจะสมบูรณ์ ศูนย์การค้าสามารถซื้อขายระหว่างกันได้ ไม่มีข้อกำหนดว่าต้องซื้อขายแบบหน้าจึงซื้อขายระหว่างกันได้แม้จะต่างพื้นที่
ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการกระทรวงการคลัง ชี้แจงขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" โดยย้ำว่า มีแอปเดียวเท่านั้น ไม่มีการส่งลิงก์หรือโทรชักชวนใดใดทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือประชาชนกลุ่มที่ไม่เคยลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่าน "ทางรัฐ" กลุ่มที่ 2 เคยลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่าน "ทางรัฐ" แล้ว
หลังจากนนี้จะมีการแถลงข่าวอีกหลายครั้งโดยเฉพาะเรื่องของร้านค้า การลงทะเบียนของกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ย้ำว่าจะได้ใช้เงินอยู่ในไตรมาส 4 ปีนี้แน่นอน พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะยืนยันเอาผิดเว็บที่หลอกลวง