แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ขณะนี้ผลการต่อรองราคาข้าวสารค้างเก่า 10 ปี กับบริษัทที่ไม่มีปัญหาด้านคุณสมบัติเสร็จสิ้นแล้ว โดยบริษัท ทรัพย์แสงทอง ไรซ์ จำกัด จ.สุพรรณบุรี และบริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม โดยแบ่งเป็น 2 คลัง ที่ทางบริษัททรัพย์แสงทอง ไรซ์ ได้ข้าวสารจำนวนกว่า 11,000 ตัน ที่ให้ราคาจากเดิม 15 บาท/กก. เป็น 18 บาท/กก. ขณะที่อีก 1 คลัง กว่า 4,000 ตัน ทางบริษัท สหธัญ ได้ไป ที่เสนอครั้งแรกกว่า 18 บาท/กก. จึงเป็นยอดวงเงินรวมกว่า 244 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นราคาต่ำกว่ารายแรก คือ บริษัท วี เอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัดที่ให้ราคาสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 19.07 บาท/กก. หรือเป็นวงเงินรวมกว่า 286 ล้านบาทก็ตาม โดยคาดว่าภายในวันนี้ (19 ก.ค.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) จะออกหนังสือแจ้งบริษัทผู้ชนะประมูล และในวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ผู้ชนะประมูลเข้ามาทำสัญญาและวางหลักประกันสัญญา 5% (ภายใน 15 วัน) และระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม - 13 กันยายน 2567 ชำระเงินและรับมอบข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าวในครั้งนี้ โดยเห็นว่าทั้ง 2 ราย มีคุณสมบัติพร้อม มีประสบการณ์ค้าข้าวมานาน และเหมาะสมที่จะชนะประมูลข้าวล็อตนี้ไป
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้แม้ว่าผลการเจรจาออกมาว่าได้ผู้ชนะประมูลข้าวสารค้างเก่า 10 ปี ได้เป็นที่เรียบร้อย แต่ก็มีการพูดถึงและตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของ อคส. ที่ทำงานล่าช้าและไม่เป็นที่น่าพอใจของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และในฐานะกำกับดูแล อคส. ด้วยตนเองอย่างมาก โดยนับตั้งแต่ที่กระทรวงพาณิชย์มีแนวทางที่จะระบายข้าวสารสตอกค้างเก่านี้ และมอบหมายให้ อคส. ไปดำเนินตั้งแต่ประกาศเชิญชวนเอกชน ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นซองประมูล ไปจนถึงการยื่นซองประมูล แต่ก็เกิดความผิดพลาดขั้นตอนตรวจสอบคุณสมบัติที่มีบริษัทเกี่ยวพันธคดีค้างเก่ากับ อคส. แต่สามารถเข้ามายื่นซองประมูลในครั้งนี้ได้ จึงทำให้เสียเวลาไปกับการตรวจสอบในเชิงลึก ถือว่าการทำงานของ อคส. ไม่เป็นมืออาชีพอย่างมาก และเห็นว่าหลังจากกระบวนการเซ็นสัญญาขายข้าวในล็อตนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว คงจะมีการปรับองค์กรการทำงานของ อคส. ใหม่