นายปณต เขตสันต์เทียะ ทีมกฎหมายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้เพิกถอนสิทธิรับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ของนายชาญ พวงเพ็ชร์ เนื่องจากพบว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับการเลือกตั้งนายก อบจ. จากกรณีมีคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 35/2560 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้พ้นจากหน้าที่โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน แม้นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่ในปี 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ กรณีการจัดซื้อถุงยังชีพเมื่อปี 2555 และยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริต
นายปณต กล่าวว่า คำร้องที่มายื่น กกต.ในครั้งนี้ เห็นว่าการลงสมัครนายก อบจ.ของผู้สมัครรายดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขาดคุณสมบัติ เนื่องจากในปี 2560 คสช. เคยมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และในปี 2564 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าทุจริตต่อหน้าที่ ขณะนี้ กกต.ยังไม่รับรองผลการเลือกนายก อบจ.ปทุมธานี เราเห็นว่าเมื่อมีหลักฐานดังกล่าวจึงมายื่นร้อง
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุว่าจะไม่ยื่นเรื่องร้องเรียน นายปณต กล่าวว่า พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ไม่ได้ติดใจการแพ้ชนะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องข้อกฎหมายซึ่งจะเป็นผลต่อการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ว่าบุคคลที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติแล้ว กกต. ตรวจไม่พบ หรือมีเหตุอะไรก็แล้วแต่ เพราะคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นคำสั่ง คสช.ในปี 2560 และในปี 2563 ที่ลงสมัคร ไม่มี คสช.แล้ว กกต.ก็อาจไม่ได้ตรวจสอบไปยังหน่วยงานดังกล่าวว่าเคยถูกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการถูกชี้มูลให้มีความผิด ผลก็ต้องกลับไปให้หมดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งนับแต่วันที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรื่องของพล.ต.ท.คำรณวิทย์
เมื่อถามว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ใช่หรือไม่ นายปณต กล่าวว่า ต้องการให้ผลคดีถึงที่สุด ว่าการกระทำของบุคคลผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ถ้ามีมูลความผิดอาญาฐานประพฤติมิชอบ โดยเฉพาะต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตสามารถไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารทั้งระดับท้องถิ่น หรือเลือกตั้งระดับชาติได้หรือไม่ เพราะตามมาตรา 50 ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือบริหารท้องถิ่น 2562 กำหนดลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ ว่า (8) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ ซึ่งนายก อบจ. ที่บุคคลดังกล่าวเคยดำรงตำแหน่ง และถูกชี้มูล ก็ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะแม้จะถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และมีคำสั่งให้กลับมาดำรงตำแหน่ง แต่ในตอนท้ายก็ถูกชี้มูลความผิด ประกอบกับมาตรา 81 และมาตรา 53 ซึ่งก็ยังมีปัญหาว่าหากได้รับการรับรอง จะทำหน้าที่ได้หรือไม่
นายปณต ย้ำว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของกฎหมายที่จะต้องวิจฉัยให้เป็นบรรทัดฐาน ว่าถ้าผู้ขาดคุณสมบัติเคยถูกชี้มูลให้มีความผิดฐานทุจริต และศาลประทับรับฟ้องก่อนแล้วจะยังคงลงสมัครได้หรือไม่ ถามว่าถ้ามีคำสั่งศาลรับฟ้องก่อนแล้ว แต่ยังคงลงสมัครได้มันจะผิดหรือเปล่า มันควรจะเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน ซึ่งใช้บังคับได้ต่อไป ถึงอยากให้ กกต. วินิจฉัย