นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พ.ศ. .... 1.22 แสนล้านบาท
สาเหตุที่ต้องจัดทำงบฯ เพิ่มเติมปีงบฯ 67
1.เศรษฐกิจไทยปี 67 การใช้จ่าย การบริโภค การลงทุน มีแนวโน้มจะขยายตัวช้าๆ
2.ความเสี่ยงจากภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจยังสูง
3.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อผลผลิตการเกษตร
4.ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกยังอยู่ในเกณฑ์สูง
5.ภาคการส่งออกที่ขยายตัวต่ำจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ความสามารถการแข่งขันลดลง
6.SMEs เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน
7.เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.1-1.1% (ค่ากลาง 0.6%)
เหตุผลที่ต้องจัดทำงบฯ เพิ่มเติมปีงบฯ 67
1.กระตุ้นเศรษฐกิจ : ส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิต ประชาชนและภาคธุรกิจ ผ่าน Digital wallet
2.รักษาระดับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
3.เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศโดยเร่งด่วน
4.ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก ปัจจุบัน เงินสำรองระหว่างประเทศ (ณ ว31 พ.ค.67) จำนวน 221,069.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
5.เงินที่ไหลเข้าออกจากการส่ง ออก นำเข้า การท่องเที่ยว (ดุลบัญชีเดินสะพัด) มีแนวโน้มเกินดุล 1.2% ของจีดีพี
6.ทำให้เม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพิ่มขึ้น : เมื่อนำงบฯ รายจ่ายปีงบฯ 67 รวมกับงบฯเพิ่มเติมปีงบฯ67 รวมเป็น 807,680.5 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น17.1% ) หรือคิดเป็น 22.4% ของงบฯรวมทั้งหมด
งบฯเพิ่มเติมปีงบฯ 67 ทำตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
2.พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
3.พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561
4.ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
รายได้ที่จะนำมาจ่ายคืนงบฯเพิ่มเติมปีงบฯ 67 คือ
1.ภาษีและรายได้อื่น จากการจัดเก็บรายได้ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการ 1 หมื่นล้านบาท
2. เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 1.12 แสนล้านบาท
“การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้กับประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี