นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า จากแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนตัว สถานการณ์ก๊าซธรรมชาติตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และยังต้องมีการทยอยคืนหนี้ กฟผ. จำนวน 98,495 ล้านบาท และส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติ ตามมติ ครม. 15,083.79 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 0.47-1.83 บาท/หน่วย)
โดยในการประชุม กกพ.เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 มีมติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริงประจำรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2567 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณ ค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 ไว้ 3 แนวทาง คือ
แนวทางที่หนึ่ง จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด 98,495 ล้านบาท และมูลค่า AF Gas จำนวน 15,083.79 ล้านบาท ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 222.71 สตางค์ต่อหน่วย จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย
แนวทางที่สอง ทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ออกเป็น 3 งวด และมูลค่า AF Gas จำนวน 15,083.79 ล้านบาท ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 113.78 สตางค์ต่อหน่วย จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย
แนวทางที่สาม ทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ออกเป็น 6 งวด และมูลค่า AF Gas จำนวน 15,083.79 ล้านบาท ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ จะเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12-26 กรกฎาคม 2567 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศค่าไฟงวดหน้าอย่างเป็นทางการ