รศ.ดร.นายแพทย์ ธวัชชัย กมลธรรม อดีตอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ว่า รัฐบาลที่แล้วปลดล็อก มีข้อมูลมากมายสนับสนุน ผ่านมา 2-3 ปี เอากลับไปเป็นยาเสพติดอีกแล้ว สรุปคือ นโยบายรัฐไทยลักปิดลักเปิด มีความไม่แน่นอนสูง ขึ้นกับการเมืองอยากให้เป็น ไม่สนใจนักลงทุน ไทยทำแบบนี้เหมือนตัวตลก นานาชาติหัวเราะเยาะ กัญชา ยาสมุนไพร ควรจะใช้เป็นโอกาสทั้งการแพทย์และเศรษฐกิจ ไม่ใช่เอาเข้า เอาออก ตามใจฉัน มั่วกันไปหมด
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ เมื่อมีการนำกลับเข้าสู่บัญชียาเสพดิดจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ดังนี้ เสียงสะท้อนจากผู้ลงทุน อุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ว่าจะเกิดความเสียหายอย่างน้อยไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากที่มีการลงทุนไปกับธุรกิจกัญชา ในช่วง 2 ปีที่มีการปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติด กระทบทั้งกลุ่มต้นน้ำ ประชาชนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้ปลูกกัญชาที่บางคนโค่นพืชชนิดอื่นและมาปลูกกัญชา โดยมีการนำทุนมาสร้างโรงเรือนที่ปลูกให้ได้มาตรฐาน กลุ่มกลางน้ำ ที่เป็นโรงงานสารสกัดกัญชา-กัญซง ซึ่งปัจจุบันโรงงานสกัดที่มีใบอนุญาต 40 แห่ง ลงทุนโรงละไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้าน ผลกระทบหลักคือการสูญเสียรายได้และการหยุดชะงักของตลาดงาน ธุรกิจกัญชาโดยตรง คือ Dispensary ฟาร์มเพาะปลูก และสถานที่แปรรูปต่างๆ ต้องปิดตัวลง ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียรายได้อย่างมีนัยสำคัญและการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ผลิตเครื่องสำอาง อาหาร ผู้แปรรูป นักวิจัย นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนด ธุรกิจในอุตสาหกรรมสัมผัส เช่น คลินิก ร้านอาหารหรือเจ้าของบ้านที่ให้เช่าธุรกิจกัญชา อาจต้องเผชิญกับกฎระเบียบหรือการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของตลาดนี้อาจนำไปสู่การบูมของกัญชาในตลาดมืด การหวนกลับไปสู่การฟื้นฟูตลาดกัญชาที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากเราได้สร้างตลาดผู้ใช้กัญชา ผู้ปลูก ผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญเป็นจำนวนมากแล้ว ที่ต้องหาลู่ทางการใช้ สร้างอาญชากรรมใต้ดิน
รศ.ดร.ธวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากผลกระทบโดยตรง กฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนของการบังคับใช้ ยังนำไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียงของรัฐเองที่สร้างความสับสนทั้งต่อผู้ที่ต้องการใช้อย่างถูกกฎหมายทางการแพทย์เอง หรือนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ตามข่าวไม่ทัน
ดังนั้น ทางออกที่ดีกว่า ควรคุมให้เหมาะสม ระวังไม่ให้เข้าถึงเด็ก สังเกตดู เวลาไปจับยาเสพติด พวกที่ใช้เฮโรอีน ยาบ้า พอจับได้ ไปบอกว่าใช้กัญชา แล้วก็ไปตีข่าวกันไปแบบนั้น แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือกัญชาถูกด้อยค่า ถูกทำลาย ถูกทำให้กลายเป็นผู้ร้ายไปแล้ว
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แม้จะบอกว่าใช้กัญชาทางการแพทย์ได้ ใช้ทางเศรษฐกิจได้ แต่เมื่อไปเป็นยาเสพติด จะมีความวุ่ยวาย ที่จะเป็นภาระของผู้ประกอบการ จนไม่มีใครอยากมาลงทุน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากัญชาจะเป็นยาเสพติดหรือไม่ การแพทย์และธุรกิจก็ต้องดำเนินการต่อไปอย่างมั่นคง มีมาตรฐานสูงและปกป้องการนำไปใช้ในทางที่ผิดกับเด็กและเยาวชน บุหรี่ ยาบ้า ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เลย ขณะที่กัญชามี และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้มากมายหากไม่ถูกนำไปจองจำไว้อีก