พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงกรณีเรือของกลาง 3 ลำ หายจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่า วันนี้ตนได้ลงพื้นที่ไปที่สัตหีบด้วยตัวเอง และจะต้องมีการตรวจสอบ 3 ข้อ คือ 1. เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ และมีการร่วมกับใครกระทำความผิดหรือไม่ โดยจะมีความผิดตาม หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจะมีความผิดตามมาตรา 147 เจ้าหน้าที่เบียดบังทรัพย์สินเป็นของตนเองหรือของผู้อื่นโดยทุจริต และ ม.157 เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้า 2. จะเดินทางไปติดตามสถานการณ์การติดตามเรือว่ามีการดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และ 3. ในการดำเนินคดีลูกเรือทั้งหมดจะมีการแจ้งความที่ สภ.สัตหีบ โดยจะมีการโอนคดีไปยังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลว่ามีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งตามรายงานเบื้องต้นคาดว่าจะมีถึง 18 คน
ทั้งนี้ ในการค้นหาเรือ ชุดค้นหากำลังดำเนินการอยู่ทั้งทางน้ำและทางอากาศ อีกทั้งได้มีการประสานกับตำรวจกัมพูชาในการดำเนินการติดตามเรือ โดยทาง พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยจะมีการสอบและดำเนินการตามข้อเท็จจริงให้ชัดเจนโดยเร็ว
ด้าน พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ เปิดเผยว่า กรอบระยะในการตรวจสอบมีเวลา 60 วัน แต่คดีนี้จะต้องมีการเร่งรัดให้เร็วที่สุด โดยจะเหลือเวลาสอบเพียง 30 วัน ข้อมูลบางส่วนต้องประสานกับทางประเทศเพื่อนบ้านในการติดตามเรือที่หายไป ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าไม่ได้อยู่ในน่านน้ำไทยแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในเขตของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังไม่สามารถระบุได้เพราะติดกับน่านน้ำกัมพูชา และเวียดนาม
ในวันเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแลเรือตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อความโปร่งใสทางตำรวจน้ำเป็นกรรมการในการสอบวินัย ส่วนคดีอาญาหรือคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องวันนี้ทาง พล.ต.อ.จรูญเกียรติ จะลงลงพื่นที่ตรวจสอบด้วยตัวเอง และทาง พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการไปยังจเรตำรวจฯ ให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้อง ก็ไม่ปล่อยไว้
ทั้งนี้ คนที่นำเรือของกลางหนี ทราบตัวอยู่แล้ว เพราะต้องมีการลงเรือเฝ้าเรือของกลาง และเรือต้องมีการวิดน้ำตลอด เพราะไม่งั้นเรือจะจม ซึ่งจะต้องมีคนเฝ้าเรือ 3-4 คน ต่อเรือ 1 ลำ และคนเฝ้าเรือเองเป็นผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ศุลกากร และ พ.ร.บ.สรรพสามิต ที่มีการประกันตัวออกมา ตอนเกิดเหตุ ต้องมีการนำเรือออกจากฝั่ง เพราะคลื่นแรง หากเรือเทียบฝั่งจะเกิดการกระแทกและเป็นอันตรายได้ และแทนที่คลื่นลมสงบจะนำเรือกลับเข้าฝั่ง แต่กลับเอาเรือหนีไปแทน ทั้งนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลว่ามีใครบ้างที่เฝ้าเรือ โดยจะมีการแจ้งความเอาผิดกับบุคคลเหล่านั้น อยู่ระหว่างการแจ้งความที่ สภ.สัตหีบ ในข้อหาการเอาทรัพย์สินซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจยึดไปและทำให้สูญหายหรือเสียหาย ซึ่งมีการกระทำผิดตามมาตรา 142
อย่างไรก็ตาม ในการค้นหาเมื่อวานนี้มีการใช้กำลังจากอากาศยานกองบินตำรวจ ค้นหาแต่ก็ยังไม่พบ ซึ่งวันนี้ก็มีการค้นหาทางเรือ แต่ก็ยังไม่พบเช่นกัน