สภาที่ปรึกษาพิเศษของเมียนมาร์ (SAC-M) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ เผยแพร่รายงาน ระบุว่า ความขัดแย้งในเมียนมาร์ ตั้งแต่ปี 2565 คือการขยายพื้นที่ของการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาล ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เมื่อกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และนักรบต่อต้านรัฐประหารที่รู้จักกันในชื่อกองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) เริ่มปฏิบัติการ 1027 ในปีที่แล้ว และประสบความสำเร็จในการยึดฐานทัพและเมืองชายแดนทางตอนเหนือและตะวันออก ตามแนวชายแดนที่ติดกับจีนและไทย รวมถึงทางตะวันตกที่ติดต่อกับบังกลาเทศและอินเดีย จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลสูญเสียอำนาจการปกครองร้อยละ 86 ของประเทศและร้อยละ 67 ของประชากร 55 ล้านคนทั้งประเทศ โดยมีแนวโน้มที่การต่อต้านการควบคุมของรัฐบาลจะเพิ่มความแข็งแกร่ง แพร่หลาย และหยั่งรากลึก
รายงานยังระบุว่า รัฐบาลที่กรุงเนปิดอว์ ไม่มีอำนาจควบคุมดินแดนในประเทศมากเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่หลักของรัฐได้ และใน 51 ชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดน มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่มีประชากร 7,000 คน ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยที่อยู่ภายใต้การควบคุมที่มั่นคงของรัฐบาล ขณะที่มี 30 แห่ง อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังต่อต้านการรัฐประหาร
ทั้งนี้ รัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ และการรวมกลุ่มเพื่อติดอาวุธต่อสู้กับกองทัพของรัฐบาล มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5,161 ราย และอีกมากกว่า 20,500 คนถูกคุมขังในเรือนจำ
รายงานยังระบุว่า รัฐบาลที่กรุงเนปิดอว์ ไม่มีอำนาจควบคุมดินแดนในประเทศมากเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่หลักของรัฐได้ และใน 51 ชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดน มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่มีประชากร 7,000 คน ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยที่อยู่ภายใต้การควบคุมที่มั่นคงของรัฐบาล ขณะที่มี 30 แห่ง อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังต่อต้านการรัฐประหาร
ทั้งนี้ รัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ และการรวมกลุ่มเพื่อติดอาวุธต่อสู้กับกองทัพของรัฐบาล มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5,161 ราย และอีกมากกว่า 20,500 คนถูกคุมขังในเรือนจำ