นางจูลี โคแซค โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า สหรัฐฯ ควรรักษานโยบายการค้าแบบเปิด ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาโดยตลอด และจะช่วยให้สหรัฐฯ จะได้รับผลประโยชน์ที่ดี จึงแนะนำให้สหรัฐฯและจีนร่วมมือกันเพื่อหาวิธีแก้ปัญหา จัดการกับสาเหตุของความกังวลที่ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น และขอเรียกร้องให้ทุกประเทศแก้ไขความแตกต่างภายในกรอบพหุภาคี
นางโคแซค กล่าวด้วยว่า ข้อจำกัดทางการค้าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศเมื่อวันอังคาร (14 พ.ค.67) สามารถบิดเบือนการค้าและการลงทุน ห่วงโซ่อุปทานที่กระจัดกระจาย และกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการตอบโต้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโลกอย่างมาก โดยในปี 2562 มีข้อจำกัดการค้า 1,000 รายการ เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 รายการในปี 2566 ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของการแยกส่วนอย่างรุนแรงออกเป็นกลุ่มทางภูมิศาสตร์การเมือง อาจลดผลผลิตทางเศรษฐกิจโลกลงประมาณร้อยละ 7
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศแผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนขึ้น 4 เท่า สู่ระดับ 100% ในปี 2567 พร้อมประกาศว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าโซลาร์เซลจากจีน 2 เท่า สู่ระดับ 50% ในปี 2567 และปรับขึ้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ขึ้น 2 เท่า สู่ระดับ 50% ภายในปี 2568 นอกจากนี้ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากจีนอีก 3 เท่า สู่ระดับ 25% ในปี 2567
ทางการจีนให้คำมั่นว่าจะตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทั้งวิจารณ์เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคน ว่าเสียสติ และมองว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็นการสร้างกระแสทางการเมือง ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้