นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา หรือ ดร.จอห์น สก.ลาดกระบัง พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญศึกษาแนวทางและหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการชุมชนเข้มแข็งพัฒนาตนเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (หรือโครงการกองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาท) เปิดเผยว่า ตามที่พรรคเพื่อไทยได้มีนโยบายกองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาท และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มเข้าปฏิบัติหน้าที่ พบปัญหาเรื่องระเบียบข้อบัญญัติเดิมของกรุงเทพมหานครที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบาย ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เช่น ข้อบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างที่สำนักงานเขต กทม. ต้องยึดกับราคากลาง ซึ่งติดปัญหาการเบิกจ่าย เนื่องจากบางรายการในโครงการที่ชุมชนต้องการ ไม่เคยมีราคากลางมาก่อน สนง.เขตต้องสืบราคากำหนดรายละเอียดลักษณะครุภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ ทำให้เสียเวลาในการดำเนินการ ไม่สามารถดำเนินการทันในปีงบประมาณ โครงการไม่คืบหน้า ทำให้ในปี 2566 และ 2567 มีชุมชน กทม.ที่สามารถเบิกจ่ายตามข้อบังคับได้เพียงแค่ 2 เขต (จาก 50เขต) ไม่กี่ชุมชนเท่านั้น!
สก.พรรคเพื่อไทย โดยนายสุรจิตต์ หรือ สก.จอห์น จึงได้ขอตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางและหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ โดยให้สำนักพัฒนาสังคมได้แก้ไขร่างระเบียบการใช้งบประมาณใหม่ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม สามารถร่วมคิด ร่วมดำเนินการ ตรวจสอบ และจัดซื้อจัดจ้างได้ โดยไม่ต้องให้สำนักงานเขตดำเนินการแต่อยู่ภายใต้กฎหมายคล้ายๆ กองทุน SML ของรัฐบาล ที่ให้ชุมชนสามารถตัดสินใจเองได้ว่าสิ่งใดจำเป็นต้องใช้ก็ใช้เสียงของชุมชนโหวต โดยไม่ต้องใช้ราคากลาง แต่ให้ใช้วิธีเทียบราคา เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ใช้คู่เทียบ 3ราย ในจำนวนและ spec ที่เหมือน โดยไม่ต้องยึดราคากลาง แต่มีสำนักงานเขตเป็นพี่เลี้ยงดูแลระเบียบการใช้เงินให้ถูกต้อง
ล่าสุด ในที่ประชุมวิสามัญฯ ได้พิจารณาร่างระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกองทุนชุมชนเข้มแข็ง โดยในที่ประชุม สก.พรรคเพื่อไทย และเพื่อน สก.ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่างระเบียบดังกล่าว และเตรียมนำร่างข้อบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่สภา กทม. เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายข้อบัญญัติเร็วนี้ๆ
“ที่ผ่านมากว่า 2 ปี ชุมชนก็ท้อใจ เพราะเสนอขอโครงการไปเท่าใดก็ไม่ได้ ได้แต่สิ่งที่ไม่จำเป็นไม่ต้องการ ชุมชนจึงต้องการได้สิ่งที่จำเป็นสำหรับเขาจริงๆ ให้เขาสามารถออกแบบโครงการได้ด้วยตัวเอง เช่น ซ่อมฝาท่อระบายน้ำ ติดตั้งกล้อง CCTV เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น ทำให้งบประมาณเข้าถึงชุมชนได้โดยตรง เป็นการให้อำนาจประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในบริหารงบประมาณในการดูแลชุมชนตนเองในแต่ละปี เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนที่แท้จริง” สก.ลาดกระบัง กล่าว