นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีวิสัยทัศน์เข้ากระแสทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และเชื่อมั่นว่า การยกระดับความสามารถผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ของไทย จะเป็นประโยชน์กับรากฐานของระบบเศรษฐกิจประเทศ ในโอกาสนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ขับเคลื่อน ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SME ด้วยการอบรมเสริมองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงลึกอย่างครบวงจร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SME มีแต้มต่อทางการค้า ใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ของไทย และลดอุปสรรคทางการค้าในขณะเดียวกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการหรือ Workshop โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชนให้กับผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าไทย ภายใต้ชื่อ "การสัมมนาโครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล ประจำปี 2567" มุ่งเน้นประเด็นการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์จากความตกลงไทย-ศรีลังกา ฉบับที่ 15 ของไทยที่ได้ลงนามความตกลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจ และขยายโอกาสการส่งออกของผู้ประกอบการไปยังตลาดต่างประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมยังครอบคลุมถึงประเด็นการใช้งานระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ในหัวข้อ "FAST, FUTURE, FREE TRADE ขยายโอกาส SME ไทย ก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้า" โดยกรมการค้าต่างประเทศจะนำร่องการอบรมระหว่างเดือนพฤษภาคม – เดือนมิถุนายน 2567 รวม 3 ครั้ง ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเชียงใหม่ และในช่วงครึ่งปีหลัง มีกำหนดจัดสัมมนาอีก 2 ครั้งในจังหวัดสงขลาและจังหวัดนครพนม
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ไทย ให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน การสร้างความรู้ความเข้าใจ ยกระดับเพิ่มคุณค่าสินค้า รวมทั้งช่วยหาตลาดให้ผู้ประกอบการ เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มศักยภาพอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นว่าการสนับสนุนจากรัฐบาลจะทำให้ผู้ประกอบการ SME ไทยมีแต้มต่อ มีช่องทาง เพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุน เป็นอีกส่วนที่ช่วยเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ