นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า จากการติดตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่มีการกล่าวอ้างว่าแบบนามธรรมว่าทำได้ๆ แต่ยังไม่เห็นรูปธรรมความเป็นไปได้ของโครงการที่ชัดเจน และหลายฝ่ายทักท้วงว่า จะขัดต่อกฎหมาย แต่พวกที่อยากที่จะทำโครงการนี้ก็หารับฟังไม่ โดยวงเงิน 5 แสนล้านบาท จะมีการจะใช้เงินดิจิทัลฯ ผ่าน ธ.ก.ส. อยู่จำนวน 172,300 ล้านบาท
นายเรืองไกร กล่าวว่า ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 23 เมษายน ประกอบกับความเห็นของกฤษฎีกาน่าเชื่อว่า รัฐบาลจะมีการใช้เงินโครงการ จำนวน 172,300 ล้านบาท ผ่าน ธ.ก.ส. ดังนั้น ถ้านำ Digital Wallet ไปแจกในมูลค่าคนละ 10,000 บาท ก็มีเกษตรกรที่จะได้รับ 17.230 ล้านคน เรื่องนี้จึงควรตรวจสอบก่อนว่าจำนวนเกษตรกร 17.230 ล้านคน มีอยู่จริงหรือไม่ และการแจกดิจิทัลฯ ให้เกษตรกรแต่ละคนนั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. หรือไม่ และจะซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ที่รัฐบาลชุดนี้เคยช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. ก่อนหน้านี้หรือไม่
ทั้งนี้ หากย้อนดูมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 จะพบว่า ครม. มีมติรับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติโครงการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ที่นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะ รมว.คลัง เสนอมาก่อนแล้ว โดยโครงการดังกล่าว จะใช้กับเกษตรกร 2.698 ล้านคน โดยมีวงเงิน 12,096 ล้านบาท โดยระบุข้อมูลไว้ว่า ยอดคงค้าง ณ วันที่ 22 กันยายน 2566 ที่รัฐบาลต้องรับชดเชยจำนวน 1,000,295.186 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 31.41 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เมื่อนำยอดเงิน 12,096 ล้านบาท มารวม ภาระก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,012,391.186 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 31.79 ที่ยังไม่เกินอัตราร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566
นายเรืองไกร กล่าวว่า เกณฑ์อัตราร้อยละ 32 มาจากหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ระบุไว้ว่า ตามประกาศคณะกรรมการฯ เรื่อง กำหนดอัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรับในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 พ.ศ. 2565 กำหนดว่า อัตรายอดคงค้างรวมทั้งหมดของภาระที่รัฐต้องรับผิดชอบชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกินร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ดังนั้น ครม. ต้องรู้อยู่แล้วว่า ยอดคงค้างที่รัฐบาลต้องรับชดเชย จำนวน 1,012,391.186 ล้านบาท จะต้องมารวมกับยอดโครงการดิจิทัลฯ จำนวน 172,300 ล้านบาท ด้วย ซึ่งจะทำให้ภาระที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบชดเชยฯ เพิ่มเป็น 1,184,691.186 ล้านบาท ซึ่งหากนำไปเทียบกับงบประมาณ 2567 จำนวน 3,480,000 ล้านบาท จะได้ร้อยละ 34.04 ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 32 ดังนั้น โครงการดิจิทัลฯ ที่จะใช้ผ่าน ธ.ก.ส. น่าจะขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ม.28
นายเรืองไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีเหตุอันควรสงสัยว่า เกษตรกรในโครงการ "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" จำนวน 2.698 ล้านคน กับเกษตรกรในโครงการดิจิทัลฯ จำนวน 17.230 ล้านคน จะเป็นเกษตรกรที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ถ้าไม่ซ้ำซ้อนก็จะมีเกษตรกรรวม 19.928 ล้านคน ใช่หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่เคยชี้แจงให้ชัดเจนว่า จำนวนเกษตรกรของ ธ.ก.ส. ที่ถูกต้องมีจำนวนเท่าใด
นายเรืองไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า สรุปว่า โครงการดิจิทัลฯ เฉพาะกรณีที่จะใช้ผ่าน ธ.ก.ส. ก็มีหลายประเด็นที่อาจไม่ชอบ วันนี้ ตนจึงส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึง ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบว่า โครงการดิจิทัลฯ วงเงิน 172,300 ล้านบาท ที่จะใช้ผ่าน ธ.ก.ส. นั้น จะทำให้ยอดภาระที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบชดเชยฯ เกินอัตราที่กำหนด หรือไม่ ขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ม.28 หรือไม่ และจำนวนเกษตรกรที่ถูกต้อง มีจำนวนเท่าใด เกษตรกรที่จะได้รับดิจิทัลฯ ซ้ำซ้อนกับเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในโครงการ ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ หรือไม่