xs
xsm
sm
md
lg

“หมอวรงค์”เปิดเอกสารลับปัญหานักโทษชั้น 14

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เปิดเอกสารลับนักโทษชั้น 14

นี่คือรายงานลับที่ผมสรุปมา เกี่ยวกับปัญหาของนักโทษชั้น14 ที่พวกเราได้ร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน และทางผู้ตรวจการฯได้แสวงหาข้อเท็จจริงจากหน่วงงานต่างๆ

1.การส่งตัวนายทักษิณ ผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ และการปกปิดข้อมูลทางการแพทย์ และขั้นตอนการดำเนินการ ไม่โปร่งใส เลือกปฏิบัติเฉพาะราย เป็นการไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

กรมราชทัณฑ์ชี้แจงสรุปได้ว่า

เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ประสาน ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ให้จัดส่งแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพื่อมาตรวจร่างกาย นายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังเข้าใหม่ ร่วมกับพยาบาลของเรือนจำตามระเบียบ

ส่วนการอนุญาต ให้ไปรักษานอกเรือนจำ

หลังจากทำทะเบียนประวัติ ตรวจร่างกายแล้ว พบว่าผู้ต้องขัง มีอายุ 74 ปี มีโรคประจำตัวหลายโรค ซึ่งอยู่ระหว่างการรักษา และ ติดตามอาการ โดยแพทย์ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ผู้ทำการตรวจ ได้มีความเห็น ให้ทางเรือนจำตรวจติดตาม เฝ้าระวังผู้ต้องขัง ทุก 3 ถึง4 ชม. เพื่อประเมินอาการ ต่อมาพยาบาลเรือนจำ ได้ตรวจติดตามเฝ้าระวังผู้ต้องขัง ตามระยะเวลาที่ แพทย์สั่งเรื่อยมา

เมื่อเวลาดึก คืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ระหว่างตรวจติดตาม เฝ้าระวังผู้ต้องขัง ประกอบการพิจารณาประวัติ การรักษาของผู้ต้องขัง จากโรงพยาบาลต่างประเทศ และ พิจารณาความพร้อมในการรักษา โรคเฉพาะทางของ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ จึงได้มีความเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งมีผลต่อชีวิต ผู้ต้องขัง เห็นควรให้ส่งตัว ผู้ต้องขัง ไปรักษาต่อยัง โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีความพร้อมด้านเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อรักษาชีวิตของผู้ต้องขัง และ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ได้รับตัวผู้ต้องขังไว้เป็น ผู้ป่วยในความดูแล เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2566

อาศัยอำนาจตามข้อ2 ของกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563

คำถามที่ต้องถาม จะพบว่าการส่งตัวของกรมราชทัณฑ์จากข้อเท็จจริง เหตุผลนี้มาจาก "เพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งมีผลต่อชีวิตผู้ต้องขัง"แสดงว่า เป็นการส่งตัวผู้ต้องขัง ไปร.พ.ตำรวจ "เพื่อป้องกันความเสี่ยง" ไม่ใช่เป็นการเจ็บป่วยจริง ซึ่งไม่เป็นไปตาม ข้อ2 ของกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ

2.กรณีรับตัว ผู้ต้องขังเข้าพักรักษาตัว ในห้องพิเศษของ โรงพยาบาลตำรวจ แยกจากผู้ป่วยทั่วไป

โรงพยาบาลตำรวจชี้แจงสรุปได้ว่า

โรงพยาบาลตำรวจได้รับข้อมูลมาว่า ผู้ต้องขังรายนี้ มีอาการวิกฤตฉุกเฉิน เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ซึ่งควรได้รับการรักษาใน ICU (จะพบว่าข้อมูลนี้ขัดแย้งกับ ข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ที่รายงานว่า ส่งมาเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งแสดงว่ายังไม่ได้ป่วยจริง แต่มาถึงโรงพยาบาลตำรวจกลับอ้างข้อมูลว่าผู้ต้องขัง มีอาการวิกฤติฉุกเฉิน)

พบว่าห้อง ICU และห้องสามัญเต็มตลอด ห้องพิเศษจะหาได้ง่ายกว่า ถ้าไปรักษา ward สามัญ ก็ต้องให้คนไข้ปกติย้ายออก ซึ่งจะไปกระทบ สิทธิ์ผู้ป่วยรายอื่น

ทั้งนี้ห้องผู้ป่วยพิเศษแบบชั้น14นี้ รองรับผู้ป่วยทั่วไปทุกระดับชั้น ปัจจุบันชั้นนี้ ยังมีผู้ป่วยภายนอก เข้ามาพักรักษาตัวตามปกติ ไม่ได้มีการปิดกั้นเฉพาะชั้นแต่อย่างใด (เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ข้อ4 (2) ที่ห้ามผู้ต้องขังพักห้องพิเศษ ที่สำคัญ ในระยะเวลา180 วันจะไม่มีเตียงสามัญ หรือไอซียู ว่างเลยหรือ ที่จะต้องย้ายผู้ต้องขังลงไป เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง)

ชั้น14 แบ่งเป็นซ้ายขวา บริเวณฝั่งปีกขวา เป็นห้องพักฟื้นผู้ป่วยโควิด ปัจจุบันยังไม่เปิดใช้งาน เนื่องจากมีน้ำรั่ว

ฝั่งซ้ายเป็นห้องพักฟื้นผู้ป่วย โดยมีประตูกั้นการเข้าออกพื้นที่ กั้นเป็นเขตหวงห้าม มีเจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์ 2นาย จนท.ตำรวจจาก สน.ปทุมวัน 2นาย มีการจัดโต๊ะควบคุมพื้นที่เข้าออกดังกล่าว

ต้องรายงานผู้บังคับบัญชา ทุก2ชม. โดยการถ่ายภาพ ห้องที่ผู้ป่วยพัก ส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์ (การกั้นเป็นเขตหวงห้ามก็ย้อนแย้งกับ รายงานที่แจ้งว่า มีผู้ป่วยภายนอกเข้าพักในชั้นนี้)

กล้องวงจรปิดได้รับการชี้แจงว่า ชั้นนี้เสีย และกล้องวงจรปิด เสียที้งอาคาร เนื่องจากงบประมาณได้รับไม่เพียงพอ (ปกติทุกโรงพยาบาลจะมีเงินบำรุง ที่ผู้อำนวยการสามารถใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมได้ มีเจตนาพิเศษแอบแฝงหรือไม่ ที่ไม่มีการซ่อมแซม)

ประเด็นเรื่องห้องวีไอพี จากการแสวงหาข้อเท็จจริง พบว่า ป้ายหน้าลิฟท์ชั้น14 ปรากฏข้อความสั้นๆเพียงว่า หอผู้ป่วยพิเศษ เท่านั้น (ก็เป็นการยืนยันว่า ผู้ต้องขังพักที่ห้องพิเศษจริง ซึ่งขัดกับกฎกระทรวง ที่ห้ามพักห้องพิเศษ)

เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตอบกระทู้ในสภา เรื่องการที่ผู้คุมขังไปพักห้องพิเศษชั้น14 เพราะเกรงความปลอดภัด โดยอ้างคาร์บอมในอดีตร่วม20ปีที่แล้ว แต่กฏกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ข้อ7วรรคท้าย ถ้ามีเรื่องความปลอดภัยของผู้ต้องขังให้ย้ายกลับโรงพยาบาลสังกัดราชทัณฑ์หรือสถานพยาบาลอื่น ไม่มีสิทธิ์อยู่ห้องพิเศษ

3.ผู้ต้องขัง ยังไว้ผมยาว

เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครชี้แจงสรุปว่า

ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ความในหมวดที่1 การตัดผมและการย้อมผม ข้อ6 ได้กำหนดว่า

เมื่อผู้ต้องขังเข้ามาในเรือนจำ จัดให้มีการตัดผมหรือไว้ผม ให้เป็นไปตามระเบียบนี้ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่รับตัว

โดยเรือนจำ พิเศษกรุงเทพมหานคร จะจัดให้ผู้ต้องขังใหม่ ตัดผมในเวลาที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่รับตัว

ต่อมา ผู้ต้องขัง ไปรักษาอาการป่วยยัง โรงพยาบาลตำรวจ ตามความเห็นของแพทย์ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2566 ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่ได้ตัดผม หากโรงพยาบาลตำรวจ อนุญาตให้รับตัวกลับมาคุมขัง ยังเรือนจำเมื่อใด ทางเรือนจำจะดำเนินการ ตามระเบียบต่อไป (แม้ผู้ต้องขังจะอยู่โรงพยาบาล ยังถือเป็นผู้ต้องขัง ยังไม่พ้นจากการคุมขัง ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา55วรรคท้าย กฎระเบียบต่างๆ ต้องมีผลบังคับ รวมทั้งการตัดผมด้วย)

4. แพทยสภาชี้แจงว่า

แพทยสภาเคยได้รับเรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของแพทย์ โรงพยาบาล ราชทัณฑ์ และ โรงพยาบาลตำรวจ ปฏิบัติตัวกับ ผู้ต้องขัง ในลักษณะเอื้อประโยชน์ เลือกปฏิบัติ ขณะนี้เข้าสู่กระบวนการสอบสวน จริยธรรม อยู่ระหว่างการ พิจารณาของ อนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพ

รายงานของแพทยสภา โดยเฉพาะการลงความเห็นในใบรับรองแพทย์ ในช่วงเวลาต่างๆ จะมีความสำคัญมากว่า การส่งตัวไปร.พ.ตำรวจ รวมทั้งการให้พักที่รพ.ตำรวจ ต่อเนื่องในช่วงเวลา 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน ว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร