นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า การดีลที่เกิดขึ้นแสดงถึงคู่ดีลฝ่ายหนึ่งได้เป็นรัฐบาลและกล้บบ้านไม่ต้องติดคุกสักวัน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์เลย ดังนั้นการเจรจาข้อตกลงสัญญาต่างๆ จึงไม่ใช่ดีล แต่เป็นการยกสัมปทานประเทศให้ปกครองแบบขายขาดสิทธิ์กันเลย
"จึงต้องพิสูจน์น้ำยาของคู่ดีลอีกฝ่ายที่ไปดีลประสาอะไร เพราะโดยพฤติกรรมเหมือนการขายสัมปทานประเทศ แล้วรัฐบาลนี้มาได้อย่างไร ก็มาจาก 152 เสียงของ สว.โหวตให้ ถามว่าใครพามา ท้ายที่สุดได้แสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง หรือตั้งใจตีโง่หรือเปล่า หรือดีลแล้วเสียทีเขาก็ไม่มีปัญญาใช่หรือไม่"
ถ้าเป็นเช่นนี้ คู่ดีลต้องยอมรับเสียเลยว่า ไม่ได้ดีล แต่เป็นการตกลงยกสัมปทานประเทศให้เขาเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่สามารถรักษาควบคุมดีลได้ ราวผู้ดีลเอาเท้าเหยียบขี้หมามาทาหน้าแล้ว ก็ยังทำอะไรไม่ได้ หากประเทศเสียหามากกว่านี้น้ำหน้าไหนจะรับผิดชอบกันบ้าง
นายจตุพร กล่าวว่า การดีลครั้งนี้เมื่อคู่ดีลไม่สามารถทำอะไรได้ รัฐบาลจึงมีพฤติกรรมเหิมเกริมมาก เหมือนได้ซื้อขาดประเทศไปเรียบร้อยแล้ว
"เราต้องดูบทเรียนกันต่อไปว่า การเอาบ้านเมืองไปเกิดความเสียหายนั้น จะแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง นอกจากการคำรามบนหน้าเฟซบุ๊คทั้งหลาย แล้วยกคำพูดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่าต้องทำให้เสียชีวิต มากำราบ ดักคอไว้ แต่ที่วางแผนดีลกันทั้งหมดนั้นไม่เคยเอาประชาชนมาเกี่ยวเลย ที่บอกว่า ดีลมาเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม แล้วฝ่ายที่อ้างถึงเอาด้วยหรือไม่ ถามเขาแล้วหรือยัง”
นายจตุพร กล่าวว่า ก่อนถึงวันที่ 11 พ.ค. ซึ่ง สว.หมดวาระนั้น ดูเหมือนคู่ดีลกลับบ้านยังอยู่ในสถานการณ์แบบสบายๆ แล้วประเทศเสียหายใครจะหยุดได้บ้าง การอ้างบอกกลับบ้านจะหยุดพรรคก้าวไกลได้ ซึ่งก้าวไกลไม่ได้สนใจ และไม่จำเป็นต้องหยุดเพราะก้าวไกลโดนยุบพรรคอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ดีลมาช่วยเลย
นายจตุพร กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ นำรถหลวงไปใช้ส่วนตัวเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าในวันอาทิตย์ ซึ่งมีหลักฐานเห็นกันชัดๆ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ยังปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบ โดยแตกต่างจากกรณีนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี ถูกชี้มูลความผิดที่นำรถหลวงไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
นอกจากนี้ นายเศรษฐา พูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้กำกับนั้น ปปช.ก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งสองกรณีนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ แบบหมูสนามเลย มีพยานหลักฐานครบ ไม่ต้องสอบสวนเลย ปปช.ยังไม่ทำอะไรอีก
นายจตุพร กล่าวย้ำว่า สิ่งสำคัญ เมื่อเกิดการดีลแล้วผู้ดีลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ประเทศเกิดเสียหายลุกลามจะทำอย่างไร หรือในที่สุดก็จะใช้การยึดอำนาจมารักษาหน้าเอาไว้ โดยนำเรื่องขัดพระบรมราชโองการฯ มาเป็นข้ออ้างอีก อย่างไรก็ตาม หากคิดอีกแบบหนึ่ง ผู้ดีลทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันและต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็เป็นไปได้ ขนาดการยึดอำนาจปี 57 ยังสมรู้ร่วมมือกันตบตาประชาชนอย่างดี
"การทวงดีลยังมีอยู่เป็นระยะ และพฤติกรรมรัฐบาลดูเหมือนเหิมเกริมหนักขึ้น ดังนั้นจึงกังวลว่า โอกาสจะจบลงแบบ 22 พ.ค. 57 คือ ยึดอำนาจซึ่งมีสูงมาก เพราะเงื่อนไขเข้าข่ายกันครบที่จะนำมาอ้างได้ทั้งสิ้น ทั้งเรื่องดิจิทัล ขัดพระบรมราชโองการฯ หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ คาสิโน หลากหลายเรื่องราวนี้ล้วนเพิ่มอุณหภูมิการยึดอำนาจทั้งสิ้น”
ประเทศไทยต้องมาก่อน