นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรหรือที่เรียกว่า เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ว่า ไม่อยากให้ใช้คำว่าเปิดบ่อนกาสิโน เนื่องจากให้พื้นที่ไม่ถึง 5% เช่นเดียวกับต่างประเทศที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ต้องประกอบไปด้วย การท่องเที่ยว วางเป้าไว้ในการพัฒนาสวนสนุกขนาดใหญ่ ที่เป็นการสนับสนุนด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยไม่ได้มีการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (2 เม.ย.) อยู่ระหว่างกลไกเรื่องเอกสารเท่านั้น คาดว่าไม่เกิน 1-2 สัปดาห์นับจากนี้ จะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรีว่าจะมีข้อสั่งการอย่างไร ซึ่งจากการรับฟังความคิดเห็นจากรัฐมนตรีหลายคนก็มีแนวทางบวก และเห็นตรงกันว่าเป็นประโยชน์ ที่มีการนำปัญหาที่มีอยู่ในสังคม เอามาวางไว้บนสังคม แล้วใช้กลไกกฎหมายกำกับดูแล เพื่อป้องกันผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้น อย่างน้อยจะเป็นการช่วยให้เก็บรายได้เข้ารัฐ เกิดการจ้างงาน เกิดการสร้างอาชีพให้กับประชาชน
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ส่วนจะก่อสร้างที่ไหน ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนด และไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะในการศึกษาของกรรมาธิการวิสามัญที่ตนเองเป็นประธานนั้น ไม่ได้มีหน้าที่ในการมากำหนดว่าเป็นพื้นที่ใด หรือกำหนดรายละเอียด ดังนั้นจึงมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติขึ้นมาดูแลด้วย
ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการระดับประเทศเป็นผู้กำหนดในเรื่องของพื้นที่และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ที่มีความสำคัญ ยืนยันว่าในชั้นกรรมาธิการยังไม่ได้ระบุจังหวัดใด แม้แต่รัฐบาลเองก็ยังไม่ได้คิด ว่าควรอยู่ในพื้นที่ใด การที่นำไปพูดกันในขณะนี้เป็นเพียงข่าวลือข่าวเล่าอ้างกันทั้งสิ้น
โดยกระบวนการหลังจากนี้ หากนำเข้าคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ขั้นตอนต่อไปก็ต้องมอบหมายให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นแม่งาน จะต้องนำตัวกฎหมายให้กฤษฎีกาไปพิจารณา ว่าร่างของกฎหมายมีประเด็นใดที่ขาดตกบกพร่องหรือไม่ หรือมีประเด็นใดที่ต้องเพิ่มเติม ซึ่งในชั้นกรรมาธิการศึกษาก็มีกฤษฎีกาเป็นคณะอนุกรรมการด้วย
นายจุลพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย โดยกฎหมายที่ออกมาจะมีความแตกต่างกันออกไป หรือมีประเด็นเพิ่มเติมที่มีความจำเป็น เนื่องจากพระราชบัญญัติการพนันของไทยถูกใช้มาตั้งแต่ปี 2478 ทั้งนี้ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการกฎหมายทั้งหมดก็จะเข้าสู่สภาอีกครั้ง ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาจะพิจารณาว่าจะมีการปรับแก้เพิ่มเติมหรือไม่
ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการตอบโจทย์และจะมีการจ้างงานกว่า 100,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ตัวนายกรัฐมนตรีเอง จึงจะเป็นซูเปอร์บอร์ดในการกำกับดูแลเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากเป็นความคิดเห็นของกรรมาธิการ