นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.81 หรือมีผู้ว่างงาน 3.3 แสนคน โดยลดลงทั้งผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน และไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น 40.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 1.7 โดยการจ้างงานในภาคเกษตร ขยายตัว ร้อยละ 1.0 ส่วนการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว ร้อยละ 2.0 โดยสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ขยายตัวสูงสุดที่ร้อยละ 8.0 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมปี 2566 อัตราการมีงานทำอยู่ที่ร้อยละ 98.68 เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนมีการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยผู้มีงานทำมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของการจ้างงาน ทั้งในและนอกภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสาขาก่อสร้าง ขณะที่อัตราการว่างงานโดยรวม ปี 2566 อยู่ที่ ร้อยละ 0.98 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2562
ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น การติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยต้องติดตามความสามารถในการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ และอาจต้องผ่อนปรนเงื่อนไขการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดอุปสรรคการให้กู้ยืมกับกลุ่มลูกหนี้นอกระบบ ควบคู่กับการติดตามความสามารถในการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจก่อหนี้นอกระบบได้ในอนาคต
นายดนุชา กล่าวว่า ไตรมาส 4/2566 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 โดยการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.9 ขณะที่การบริโภคบุหรี่ลดลงร้อยละ 0.7 สำหรับภาพรวมปี 2566 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของการบริโภค และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญ คือ การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ที่อาจดึงดูดให้มีการเปิดสถานบันเทิงเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้นักดื่มมีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และการสูบบุหรี่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันและเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ